1. วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

สำหรับการวัด Heart-Rate หรืออัตราการเต้นของหัวใจเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของสมาร์ทวอชสายสุขภาพ ที่ขาดไม่ได้เลย โดยปกติแล้วคนเราจะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 60 – 100 ครั้งต่อนาที หากมีความผิดปกติของอัตราการเต้นของหัวใจบางช่วงที่เป็นๆ หายๆ หรือไปพบแพทย์แล้วไม่มีอาการ ซึ่งถ้าตรวจขณะไม่มีอาการก็มักจะตรวจไม่เจอ Smartwatch จะสามารถช่วยตรงจุดนี้ได้ เนื่องจากมีการบันทึก Heart-Rate อยู่ตลอด ทำให้แพทย์สามารถนำข้อมูลนี้ไปวินิจฉัยร่วมกับอาการอย่างอื่น และสามารถวินิจฉัยได้ดียิ่งขึ้น หรือตรวจเจอความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

2. การนับก้าวเดินในแต่ละวัน

Step-Count หรือการนับก้าวเดิน จะช่วยให้เราประเมินได้ว่าวันนี้เราเดินไปทั้งหมดเท่าไหร่ เป็นระยะทางกี่กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี โดยเฉลี่ยวันหนึ่งควรเดินอย่างน้อย 4,000 – 5,000 ก้าวเป็นต้นไป ซึ่งการเดินถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดี หรือเป็นการออกกำลังกายโดยอ้อม ซึ่งอุปกรณ์หลายๆแบรนด์สามารถตั้งเป้าหมาย (Target) ในแต่ละวันได้ด้วย ว่าในหนึ่งวัน เราจะเดินให้ครบกี่ก้าว ถือเป็นการสร้าง Achievement ส่วนตัวของเรา โดยสามารถ Challenge เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันด้วยครับ

3. ตรวจจับการนอนหลับ

Sleep Tracking หรือการตรวจจับการนอนหลับ ฟังก์ชันนี้จะช่วยให้ติดตามการนอนหลับตลอดคืนของเรา และช่วยประเมินการนอนหรือพักผ่อนในแต่ละวัน ว่าเพียงพอหรือไม่ ควรนอนอีกชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายพักฟื้น รวมไปถึงการตรวจจับการนอนหลับว่าหลับสนิทมากหรือน้อยแค่ไหน (Deep Sleep) เพื่อเป็นตัวช่วยในการปรับปรุงพฤติกรรมการนอน หรือในบางครั้งมักจะพบเจอปัญหาการหลับไม่สนิทได้แต่เนิ่นๆครับ

4. ฟังก์ชันออกกำลังกาย

เป็นฟังก์ชันที่ควรจะมีในทุก Wearable Device สายสุขภาพ โดยโหมดออกกำลังกายจะช่วยจับตั้งแต่ การจับเวลา ระยะทาง การเต้นของหัวใจ รวมไปถึงการตั้งคุม Zone เช่น ถ้าต้องการเบิร์นไขมัน การวิ่ง Zone 2 จะเบิร์นได้ดีสุด Smartwatch หลายๆรุ่นจะมีการสั่นหรือมีเสียงเตือน เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจเราหลุดจาก Zone ที่กำหนด ทำให้เราสามารถปรับการออกกำลังการได้ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

1. เคสนักปั่นจักรยานเสือภูเขา ประสบอุบัติเหตุพลัดตกเขา ทำให้ฟีเจอร์ตรวจจับการล้มของ Apple Watch ทำงาน สามารถส่งข้อความขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที ทำให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายได้อย่างหวุดหวิด

2. เคสของลัลลาเบล เหยื่อพริตตี้สาวเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิต ซึ่งทางนิติเวศได้รับหลักฐานจาก Smartwatch ที่สวมใส่จากการบันทึกในแต่ละวัน ทำให้ทราบถึงช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมไปถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่มีความผิดปกติ ทำให้คดีมีความคืบหน้ามากขึ้น