เครื่องเล่น Blu-ray Vs Streaming TV ใครจะอยู่ใครจะไป

24 ธ.ค. 2561

เครื่องเล่น Blu-ray Vs Streaming TV ใครจะอยู่ใครจะไป

ยุคปัจจุบันหลายคนยังหาความสุขกันจากการชมสื่อบันเทิงไม่ว่าจะเป็น ทีวี ภาพยนตร์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยให้ความบันเทิงแบบให้ได้อรรถรสทั้งภาพและเสียง แรกสุดสมัยเด็กก็จะมีเครื่องเล่นวีดีโอเทปเล่นม้วนเทปได้ จากนั้นก็มี วีซีดี หลังจากนั้นเป็นเครื่องเล่น ดีวีดี เข้าสู่ตลาดและนิยมกันมาก ต่อมามีเครื่องเล่น Blu-ray และแผ่นบลูเรย์ก็เข้ามา รวมถึง Streaming การแข่งขันด้านธุรกิจสื่อบันเทิงมากันแรง  เครื่องเล่น Blu-ray Vs Streaming TV ใครจะอยู่ใครจะไป ต้องมาดูกัน

การใช้งาน เครื่องเล่น Blu-ray และแผ่น Blu-ray เข้ามาเติมเต็มการรับชมหนังให้กับผู้เน้นความคมชัดอลังการของภาพอย่างละเอียดระดับ High Definition รวมถึงเสียงระดับ HD ด้วย โดยไม่มีการบีบอัดลดคุณภาพ  ในขณะนี้ทีวีทุกรุ่นสามารถรองรับเครื่องเล่น Blu-ray กันเกือบหมด เครื่องเล่นบลูเรย์ สามารถเล่นแผ่น ดีวีดี ได้ แต่เครื่องเล่นดีวีดี ไม่สามารถเล่นแผ่นบลูเรย์ได้  ความจุข้อมูลทั้งภาพและเสียงได้ดีกว่า ราคาของเครื่องบลูเรย์และแผ่น ยังมีราคาค่อนข้างแพงจะเน้นในกลุ่มที่มีกำลังซื้อพร้อมที่จะเริ่มต้นกับระบบโฮมแอนเตอร์เทนเมนต์ ด้วยแผ่นบลูเรย์ดิสก์แบบ 4K HD  และต้องการอรรถรสในการรับชมมาก จำเป็นต้องมี ทีวี จอขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งจอทั่วๆไปนาจะอ่ยู่ที่ 24-32 นิ้ว ซึ่งจอขนาดจอแบบนี้ ใช้กับเครื่องเล่น Blu-ray ก็จะไม่ได้ให้ความรูสึกที่แตกต่างจากการเล่นดีวีดีเท่าไร  ระบบเสียงก็ต้องขึ้นอยู่กับระบบลำโพงแต่หากไม่ได้ใช้ระบบเครื่องเสียง ก็จะต้องใช้ภาคขยายของจอทีวีทำงานด้านระบบเสียงแทน

พฤติกรรมผู้บริโภคต่อ Streaming TV

การชม Streaming TV ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อการดูสื่อโทรทัศน์นั้นเปลียนไปอย่างมาก ที่เห็นได้ชัดเจนคือ การรับชมสื่อผ่านทางโทรทัศน์นั้นน้อยลง ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ที่น่าจับตามองไม่น้อย เหตุจูงใจที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปคือ รูปแบบของ Streaming TV ที่ On Demand กล่าวง่ายๆคือ ผู้รับสารสามารถดู Content ที่ตัวเองชอบ ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมารอคอยการถ่ายทอดตามเวลาเหมือนการรับชมบนทีวี ซึ่งเหตุนี้เองทำให้โดนใจผู้รับชมสื่อต่างๆหลายๆคน เมื่อมี Streaming TV Content เข้ามาการรับชมเปลี่ยนไปเพราะคนที่สามารถดู ในเวลาว่างหรืออยากดูและอยากได้ประสบการณ์ต่างๆที่จะเล่าเรื่องได้อย่างต่อเนื่อง หรือรับชมได้นานเหมือนสมัยก่อนที่มีการเช่าซีรีส์และดูต่อเนื่องกันเป็น 10 ชั่วโมง ทำให้วิธีการเล่าของ Netflix นั้นจะเหมือนการทำภาพยนตร์ยาว 1 เรื่องที่ตัดเป็นตอนๆ ได้รับชมติดต่อกัน ทำให้ผู้ชมสามารถอินกับเนื้อเรื่องจนติดไม่สามารถเลิกดูได้

แม้ผู้รับชมจะต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน เพื่อให้ได้รับชม เช่น Netflix โดยแพคเกจจะขี้นกับระดับ Resolution ของภาพ เช่น 4K หรือแบบธรรมดา และจำนวนผู้ใช้ต่อหนึ่งบัญชี แต่ก็มีผู้รับชมเลือกเสียค่าบริการด้วยเหตุผลส่วนใหญ่จากการได้รับชมสื่อที่ตนต้องการและเป็นรายการที่มีคุณภาพ กับความสะดวกในการรับชม บางเจ้าอย่าง LINE TV ก็เลือกให้บริการ Streaming แบบฟรีๆ โดยผู้รับชมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แลกกับการรับชมโฆษณาที่มาคั่นระหว่างชมรายการ  เทคโนโลยีทุกวันนี้พัฒนาไปเร็วมาก ช่วยอำนวยความสะดวกให้กัยผู้ใช้ คล่องตัว สะดวก ตรงความต้องการมากขึ้นเปลี่ยนไปตามยุคแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากกระแส Streaming TV เพิ่มช่องทางการรับชมมากมาย อย่างไรก็ดีการดูทีวีให้สนุกบางครั้งต้องมีลำโพงบ้านเพื่อให้ได้เสียงที่สมจริงมีอรรถรสด้วยนั่นเอง

ก็มีข้อจำกัดที่น่าสนใจคือ

  • ระบบสตรีมมิ่งนั้น คุณภาพของภาพและเสียงขึ้นอยู่กับความสามารถของอินเตอร์เน็ต และการส่งผ่านด้วยการสตรีมมมิ่งต้องถูกบีบอัด หรือมีการสสูญเสียจากสัญญาณรบกวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • ความแรง ของอินเตอร์เน็ตและสัญญาณกวน คือตัวแปร ที่สำคัญไปกว่านั้น การสตรีมมิ่ง คือการเช่าหนังแบบหนี่ง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นเจ้าของเหมือนแผ่นบลูเรย์ดิสก์แต่อย่างใด
  • หากเปรียบภาพต่อภาพ เสียงต่อเสียง ภาพของสตรีมมิ่งได้รายละเอียดก็จริง แต่ด้อยเรื่องมิติภาพ ความคมชัดลึก และรายละเอียด ในฉากมืด ระบบเครื่องเล่นบลูเรย์เหนือกว่าทุกประการ
  • การลงทุน เครื่องเล่น บลูเรย์ ใช้ปัจจัยสูงกว่า  สตรีมมิ่ง สมาร์ททีวี

โดยในอนาคตจะเป็นรูปแบบไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับประโยชน์และความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเครื่องเล่น Blu-ray  หรือการชม Streaming TV ใครจะอยู่หรือไปนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนนั่นเอง แล้วคุณละชอบแบบไหน?

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2