ทำความรู้จัก Bluetooth และ Class คืออะไร

16 พ.ค. 2560

ทำความรู้จัก Bluetooth และ Class คืออะไร

ในปัจจุบันอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หูฟัง ลำโพง หรือแก็ตเจ็ต ต่างก็มี Bluetooth เป็นทางเลือกในการเชื่อมต่ออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอุปกรณ์แต่ละชนิดมีจะมีเวอร์ชั่นของ Bluetooth รวมถึง Class ที่แตกต่างกันออกไป โดยในบทความนี้ทาง Mercular.com นั้นก็จะมาแนะนำให้ทุกคนนั้นมา ทำความรู้จัก Bluetooth แต่ละ Class คืออะไร เพื่อให้ทุกคนนั้นได้รู้จักกับการเชื่อมต่อแบบไร้สายนี้มากยิ่งขึ้นครับ ไปดูกันเลย

ทำความรู้จัก Bluetooth แต่ละ Class

Bluetooth แต่ละ Class

มาเริ่มต้นทำความรู้จักเกี่ยวกับคำว่า Class กันก่อนเลยดีกว่าครับ ซึ่งสำหรับสัญญาณบลูทูธ หลัก ๆ จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 Class (บางที่อาจจะมีแค่ 3 Class เนื่องจาก Class 4 สัญญาณค่อนข้างอ่อนมากและไม่นิยมใช้กันครับ) ประกอบไปด้วย


Bluetooth Class ต่าง ๆ


Bluetooth Class 1: สามารถเชื่อมต่อได้ไกลประมาณ 100 เมตร มีกำลังส่งสัญญาณ 100 มิลลิวัตต์โดยประมาณ

Bluetooth Class 2: สามารถเชื่อมต่อได้ไกลประมาณ 10 เมตร โดยมีกำลังส่งสัญญาณ 2.5 มิลลิวัตต์โดยประมาณ

Bluetooth Class 3: สามารถเชื่อมต่อได้ไกลประมาณ 1 เมตร โดยมีกำลังส่งสัญญาณ 1 มิลลิวัตต์โดยประมาณ

Bluetooth Class 4: สามารถเชื่อมต่อได้ไกลประมาณ 0.5 เมตร โดยมีกำลังส่งสัญญาณ 0.5 มิลลิวัตต์โดยประมาณ


ซึ่งปัจจุบันอุปกรณ์แต่ละประเภทก็จะเลือกใช้ Bluetooth Class ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ของตนเอง เช่น ถ้าเป็นเครื่องส่ง Bluetooth Headset ของผู้ที่ชอบขับขี่มอเตอร์ไซค์บิ้กไบค์ แบบที่ใช้กันในต่างประเทศ (คล้าย Walkie-Talkie) จะเป็น Bluetooth Class 1 ครับ เพราะเน้นระยะทางในการสื่อสารเป็นหลัก แน่นอนว่าจะค่อนข้างกินแบตเตอรี่พอสมควร แต่ถ้าหากเป็นอุปกรณ์หูฟัง ลำโพง โดยทั่วไปแล้ว มักจะนิยมใช้ Bluetooth Class 2 กันครับ เนื่องจากไม่ได้เน้นระยะทางในการเชื่อมต่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังไม่กินแบตเตอรี่มากด้วย แต่อย่างไรก็ดีทั้งนี้ทั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับทางผู้ผลิตด้วยว่าเลือกใช้ Bluetooth Class ไหน โดยเราสามารถดูได้ที่คู่มือข้างกล่องครับ หรือในกรณีที่ผู้ผลิตไม่ระบุเราสามารถดูได้จาก Version ของ Bluetooth ที่เราจะพูดถึงกันในส่วนถัดไปครับ

Bluetooth เวอร์ชั่นต่าง ๆ

Bluetooth Version ต่าง ๆ บอกอะไรเราได้บ้าง?


สำหรับเวอร์ชั่นของบลูทูธนั้น มีตั้งแต่เวอร์ชั่น 1.0 ไปจนถึง 5.0 โดยใช้แต่ละเวอร์ชั่นก็จะมีการอัพเดทเพื่อแก้ไขการทำงานของบลูทูธไปอีก ซึ่งการอัพเดทนั้นให้ดูเวอร์ชั่นจากตัวเลขหลัง “จุด” เช่น เวอร์ชั่น 2.0 กับ 2.1 ตัว 2.1 จะเป็นตัวที่อัพเดทมาจาก 2.0 ครับ ทีนี้ในบลูทูธแต่ละเวอร์ชั่นจะมีความเร็วในการรับ/ส่ง ข้อมูลไม่เท่ากัน ซึ่งสิ่งนี้เองจะเป็นตัวชี้วัดว่าสัญญาณบลูทูธของอุปกรณ์คุณ อยู่ใน Class อะไรนั่นเอง โดยความเร็ว (Max Rate Date) ของบลูทูธเวอร์ชั่นต่าง ๆ จะเป็นดังนี้


  • Bluetooth 2.0 =1 Mbps
  • Bluetooth 2.0+EDR = 3 Mbps
  • Bluetooth 2.1+EDR = 3 Mbps
  • Bluetooth 3.0+HS = 24 Mbps
  • Bluetooth 4.0 = 24 Mbps
  • Bluetooth 4.1 = 24 Mbps
  • Bluetooth 4.2 = 1 Mbps
  • Bluetooth 5.0 = 2 Mbps
  • Bluetooth 5.1 = 2 Mbps
  • Bluetooth 5.2 = 2 Mbps
  • Bluetooth 5.3 = 2 Mbps


**EDR หมายถึง Enhanced Data Rate / HS หมายถึง High-Speed ซึ่งทั้งคู่มีการปรับปรุงความเร็วเพิ่มขึ้นนั่นเอง


และตั้งแต่ Bluetooth 5.2 ขึ้นไปนั้น ยังสามารถรองรับการใช้งานอุปกรณ์ 2 เครื่องขึ้นไป ทำให้การเชื่อมต่อหนึ่งครั้งสามารถเชื่อมต่อพร้อมกันได้หลายอุปกรณ์ ไม่ต้องทำการยกเลิกและเชื่อมต่อให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้วด้วย


และล่าสุดกับ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.4 ที่ทำการเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยตัวของ Bluetooth 5.4 นั้นก็เรียกได้ว่าอัปเดตมาแบบจัดเต็มไซซ์ใหญ่ไฟกระพริบ ด้วยการปรับปรุงการเชื่อมต่อให้สามารถทำได้ไกลมากขึ้น พร้อมด้วยความเร็วในการเชื่อมต่อที่ทำได้เร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยกระดับความปลอดภัยที่จะทำให้ใช้งานได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น สามารถค้นหาและชเื่อมต่อได้ง่ายมากขึ้น ไม่ต้องทำการรีแพร์บ่อย ๆ ให้เสียเวลา พร้อมทั้งยังเลือกช่องสัญญาณที่ดีที่สุดสำหรับการเชื่อมต่อเพื่อไม่การเชื่อมต่อนั้นหลุดได้ง่ายดาย และยังป้องกันไม่ให้สูญหายเนื่องจากการถูกคลื่นแทรกรบกวนอีกด้วย

Bluetooth

โดยเวอร์ชั่นของบลูทูธจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของความเร็วในการรับหรือส่งข้อมูล ซึ่งยิ่งถ้าส่งได้ไว ในแง่ของการใช้หูฟังหรือลำโพง ก็จะได้รายละเอียดที่มากขึ้น คุณภาพเสียงดีขึ้น หรือลดโอกาสเกิดเสียงที่เหลื่อมกัน (Delay) ครับ ตรงนี้จะค่อนข้างเห็นผลในกรณีที่เราใช้ลำโพงบลูทูธต่อกับทีวี เวลาที่ภาพและเสียงไม่ตรงกัน ให้สันนิษฐานก่อนเลยว่า Class/Version ของบลูทูธนั้น มีคุณภาพที่ไม่ถึงขั้นแน่นอน อย่างไรก็ดีการเลือกหูฟังบลูทูธหรือลำโพงบลูทูธ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องถามผู้ขายเลยว่าอุปกรณ์ชนิดนั้น ๆ ใช้ Bluetooth Class อะไร และ Version เท่าไหร่นั่นแหละครับ เพราะถ้าเราทราบถึงข้อมูลตรงนี้ก็จะทำให้เราเลือกอุปกรณ์ที่ตรงกับความต้องการได้ เช่น ถ้าต้องการเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธของโทรทัศน์กับหูฟังบลูทูธ เราก็อาจจะเลือกตัวส่งสัญญาณ Bluetooth Version 4.0 ขึ้นไป เพื่อจะได้มีความเร็วได้การส่งที่แรง และไม่เกิดการ Delay เป็นต้น


Bluetooth คนละ Version กัน ทำงานร่วมกันได้ไหม?


สำหรับใครที่เกิดคำถามแบบนี้ขึ้นในหัวก็ต้องขอตอบเลยว่า ได้ครับ เพียงแค่ว่าความเร็ว รวมถึงฟังก์ชันบางอย่างอาจจะใช้ไม่ได้นั่นเอง อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือรองรับบลูทูธ 4.0 ในขณะที่หูฟังบลูทูธรองรับแค่ 2.0 ตรงนี้ต้องบอกว่า แม้ตัวส่งสัญญาณบลูทูธจะเป็น 4.0 แต่ตัวรับสามารถรับได้แค่ 2.0 เท่านั้นครับ หรือบางที่เครื่องส่งรองรับ Bluetooth APT-X (ส่งสัญญาณเสียงคุณภาพดี) แต่ตัวรับไม่สามารถรับได้ ฟังก์ชันนี้ก็จะขาดหายไปนั่นเอง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นครับว่าการเลือกหูฟังหรือลำโพงบลูทูธนั้นค่อนข้างสำคัญอย่างยิ่งว่าใช้คลาสหรือเวอร์ชั่นอะไรครับ

Bluetooth คนละ Version กัน ทำงานร่วมกันได้ไหม

สำหรับบทความนี้เราก็ได้รู้จัก Bluetooth มากขึ้นกันแล้ว อย่างน้อยๆ เราก็พอจะบอกได้ว่าอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นหูฟัง ลำโพง หรือเครื่องเสียงนั้นใช้บลูทูธ Class อะไร หรือ Version อะไรบ้าง? ดังนั้นแล้วหากเลือกซื้ออุปกรณ์ทั้งทีไม่ควรเลือกซื้ออุปกรณ์ที่มีบลูทูธความเร็วต่ำ เนื่องจากเทคโนโลยีสมัยนี้ค่อนข้างไปได้เร็ว ควรซื้อ Bluetooth Class/Version สูง ๆ ไว้ก่อน เพื่อรองรับเทคโนโลยีในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่คุณนั้นใช้งานนั่นเองครับ และแน่นอนว่า Mercular นั้นก็มีสินค้ามากมายที่มาพร้อมกับ Bluetooth เวอร์ชั่นใหม่ ๆ ที่จะทำให้การใช้งานของคุณนั้นเสถียรและสะดวก ช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันของคุณนั้นสบายยิ่งขึ้น ลองมาเลือกกันได้เลยครับ ไม่ว่าจะหูฟัง เมาส์ คีย์บอร์ด รวมไปถึงลำโพงอีกด้วยครับ

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2