ที่ชาร์จในรถ ชาร์จมือถือช้าเพราะอะไร ?

18 พ.ค. 2564

ที่ชาร์จในรถ ชาร์จมือถือช้าเพราะอะไร ?

ไม่ควรชาร์จแบตมือถือในรถ เพราะแบตเสื่อม หรือ ที่ชาร์จในรถ ชาร์จมือถือช้า เป็นสุดยอดคำถามที่หลาย ๆ คนคาใจ แต่วันนี้ Mercular.com มีคำตอบสำหรับคนที่ชีวิตติดล้อทุกคน

ที่ชาร์จในรถ ชาร์จมือถือช้าเพราะอะไร ?

ทำไมที่ชาร์จในรถ ชาร์จมือถือช้า

ก่อนอื่นก็ต้องของเกริ่นก่อนเลยว่า ใครที่ขับรถไปทำงานบ่อย ๆ อาจจะต้องสงสัยว่าทำไมเวลาชาร์จมือถือบนรถด้วยที่ชาร์จในรถตรงส่วน USB บน Console แล้วแบตเตอรี่ของตัวเองถึงขึ้นน้อยถึงน้อยมาก ยิ่งถ้าใครขับรถไปเปิดเพลงฟังหรือรับสายโทรศัพท์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะคนนั่งข้าง ๆ ที่หยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมอาจจะต้องสังเกตว่าแบตแทบไม่ขยับ สิ่งเหล่านี้เกิดจากที่ชาร์จในรถทั่วไปนั้น มีแรงดันไฟที่ไม่มากพอจะชาร์จแบตเตอรี่มือถือให้ได้เทียบเท่ากับการชาร์จแบตด้วยหัวชาร์จ หรือหัวชาร์จเร็ว แต่ความจริงแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์สามารถขับไฟได้มากกว่านั้นมาก ๆ และหนึ่งในช่องทางที่จะใช้งานไฟของแบตฯ รถที่ดีที่สุดก็คือ ที่ชาร์จในรถที่เชื่อมต่อกับช่องเสียบที่จุดบุหรี่นั่นเอง 


โดยสาเหตุก็มาจากที่ชาร์จในรถทั่ว ๆ ไปบนแผง Console หรือข้างมอนิเตอร์รถ มักจะจัดสเปคให้มีแรงดันไฟเพียงแค่ 0.5 A เท่านั้น ทำให้ตัวมันสามารถชาร์จแบตมือถือได้เพียง ครึ่งเท่าของการชาร์จปกติ เรียกได้ว่าถ้าคิดคำนวณออกมาเป็นสูตรรวมการสูญเสียพลังงานทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่ทิ้งไว้เฉย ๆ แล้วแบตแทบไม่เด้งแน่นอน แต่การใช้ที่ชาร์จในรถ ที่เสียบกับที่จุดบุหรี่นั้นจะเป็นการดึงเอาไฟของแบตรถออกมาได้เต็มที่เรียกได้ว่าจะเป็น 2.1 A หรือ 4.2 A ก็ทำได้สบาย ๆ ฉะนั้นถ้าอยากชาร์จแบตมือถือในรถได้ไว ๆ ก็ต้องเปลี่ยนที่ชาร์จในรถให้เป็นแบบที่เสียบกับช่องจุดบุหรี่นั่นเอง

วิธีชาร์จในรถได้ไวขึ้น

วิธีทำให้ที่ชาร์จในรถชาร์จมือถือได้ไวขึ้น

อย่างที่เราได้พูดถึงกันไป วิธีทำให้คุณชาร์จด้วยที่ชาร์จในรถเร็วขึ้น ง่าย ๆ ก็คือการเลือกที่ชาร์จในรถแบบเสียบกับที่จุดบุหรี่มาใส่แทน โดยวิธีการเลือกก็ให้เลือกที่ชาร์จในรถที่มี A สูงหน่อย ระหว่าง 2.1 – 5 แล้วแต่ว่าคุณต้องการที่ชาร์จในรถที่มีกี่ช่องและความเร็วในการชาร์จสูงสุดเท่าไหร่ (แต่ก็ขึ้นอยู่กับสายชาร์จด้วย โดยสามารถเข้าไปอ่านวิธีเลือกสายชาร์จได้ที่บทความ > วิธีเลือกซื้อสายชาร์จ หัวชาร์จ ทำยังไง) ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวเลือกมากมายเช่น ที่ชาร์จในรถ Fast Charge ที่ชาร์จในรถไร้สาย หรือ ที่ชาร์จในรถ Bluetooth ที่สามารถต่อเชื่อมไร้สายเข้ากับเครื่องเล่นเพลงในรถให้คุณได้ก็มี โดยทาง Mercular ก็เลือกรุ่นแนะนำเอาไว้ให้คุณแล้วถึง 5 รุ่นโดยสามารถเข้าไปดูได้ที่บทความนี้เลย > 5 อันดับ ที่ชาร์จในรถ ยี่ห้อไหนดี ปี 2021

ใช้ที่ชาร์จในรถแล้วแบตเสื่อมจริงไหม

ต่อมาเรามาดูกันว่าที่ชาร์จในรถ ทำให้แบตเสื่อมจริงหรือไม่ คำตอบที่ถูกต้องคือใช่ และไม่ใช่นั่นเองครับ เพราะการใช้งานที่ชาร์จในรถที่ถูกวิธี จะไม่ทำให้แบตเตอรี่มือถือเสื่อมไวขึ้น ซึ่งข้อห้ามเดียวของการชาร์จมือถือบนรถก็คือ อย่าเสียบสายชาร์จเข้ากับที่ชาร์จในรถก่อนสตารท์เครื่อง เพราะช่วงที่รถเพิ่งสตาร์ทและเริ่มวิ่งใหม่ ๆ นั้นไฟจะกระชากรุนแรง และไม่มีความเสถียร ทำให้ไฟที่ไหลเข้ามือถือของเราไม่ได้รับการควบคุม และทำให้ความทนทานของแบตเตอรี่เราลดลงได้ รวมไปถึงตัวที่ชาร์จในรถที่ต่ออยู่กับตัวจุดบุหรี่ของเราก็แนะนำให้เอาออกจากช่องเสมอ ๆ เวลาจะดับเครื่อง และเสียบกลับเข้าไปหลังจากสตาร์ทเครื่องและวิ่งได้ระยะนึงแล้วจะดีที่สุด เพราะที่ชาร์จในรถ ตัวนี้ ก็มีหลักการคล้าย ๆ กับตัวแบตเตอรี่ หากโดนไฟกระชากแรง ๆ บ่อย ๆ ก็อาจจะมีการทำงานเพี้ยนและผิดพลาด สุดท้ายก็อาจจะทำให้คุณกลับไปชาร์จช้า หรือแบตเตอรี่เสื่อมไปแล้ว ทั้งยังเป็นการถนอมที่ชาร์จในรถของคุณ และถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ด้วยนั่นเอง

การชาร์จมือถือในรถปลอดภัยจริงหรือไม่

ส่วนใครที่มองว่าการที่ชาร์จในรถ จะทำให้แบตรถยนต์เสื่อม รถดับ รถเสียกลางถนน แบตไฟกระชากมือถือระเบิด ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงเท่าไหร่ เพราะกำลังไฟที่เราดึงมาใช้งานจากแบตรถยนต์นั้นน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าตัวอื่นทั้งเครื่องปรับอากาศ หรือลำโพง ไปจนถึงหน้าจอแสดงผลอีกมากมายบนรถ ฉะนั้นการชาร์จไฟเข้ามือถือผ่านที่ชาร์จในรถนั้น ถือว่าเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับแบตเตอรี่รถยนต์เลย จะมีก็แต่คนที่ดัดแปลงเอาที่ชาร์จในรถไปทำที่ชาร์จบนรถมอเตอร์ไซค์ ที่ทางเราไม่แนะนำโดยเด็ดขาด เพราะความเสถียรของไฟแบตเตอรี่รถมอเตอร์ไซค์นั้นเหวี่ยงกว่ารถยนต์มาก ๆ อาจจะทำให้เกิดความเสียหายให้กับตัวรถและมือถือเราได้อย่างจริงจัง 

วิธีเลือกซื้อที่ชาร์จในรถ แบบง่าย ๆ

สำหรับใครที่อ่านบทความนี้แล้วเริ่มคลายกังวลจนอยากได้ที่ชาร์จในรถเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเราไม่ทิ้งให้คุณไปซื้อเองคนเดียวแบบเหงา ๆ แต่เราสรุปโดยย่อมาให้แล้วว่าวิธีเลือกซื้อที่ชาร์จในรถง่าย ๆ ทำยังไง


  1. เลือกแรงดันไฟที่เราต้องการ แนะนำ 1 A หรือ 2.1 A สำหรับที่ชาร์จในรถ 1 หัว (2.1 A สำหรับหัวชาร์จเร็ว) และ 2.4 A หรือ 4.2 A สำหรับที่ชาร์จ 2 หัว (4.2 A สำหรับการชาร์จเร็วทั้ง 2 หัว) หรือทวีคูณขึ้นไปตามหัวชาร์จที่อยากได้ (ไม่ต้องกลัวอย่างที่บอกไป กำลังไฟเราเหลือเฟือ)
  2. เลือกสายชาร์จมือถือที่รองรับกำลังไฟที่ต้องการ อย่าเผลอซื้อสายชาร์จ 1 A มาโดยที่เราซื้อหัวที่ชาร์จในรถเร็ว 2.1 A มา ต้องซื้อสายชาร์จเร็วที่รองรับ A ที่มากกว่าหรือเท่ากันเท่านั้น
  3. เลือกฟีเจอร์การใช้งานเสริมอื่น ๆ และดูตรารับประกันต่าง ๆ เช่น มอก. MFI และอื่น ๆ อีกมากมาย ยอมลงทุนกับหัวชาร์จจากแบรนด์ดังเช่นที่ชาร์จในรถ Anker หรือ ที่ชาร์จในรถ Belkin เป็นต้น

*สัญลักษณ์รับรองต่าง ๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกที่ควรสังเกตได้แก่ FCC, CE และ RoHS (MFI ก็สามารถดูอ้างอิงได้ แต่ไม่ได้ครอบคลุมเท่ากับตราอื่น ๆ )

สุดท้ายนี้ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้เลือกซื้อที่ชาร์จในรถ ที่มีการใช้งานถูกใจ และตรงสเปคที่สุด ไม่ต้องพบเจอกับปัญหาชาร์จแบตช้า หรือต้องระแวงว่าแบตมือถือ หรือแบตรถยนต์จะเสื่อมไวเพราะที่ชาร์จในรถอีกต่อไป โดยใครที่สนใจอยากเป็นเจ้าของที่ชาร์จในรถ วันนี้ก็มีให้เลือกซื้อแล้วใน www.mercular.com ส่วนบทความต่อ ๆ ไปนั้นทางทีมงานจะเอาอะไรมาเล่าให้ฟังกัน ก็ติดตามรออ่านกันได้เลย แล้วพบกันใหม่บทความต่อไป สวัสดีครับ 

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2