DAC-Amplifiers
ตั้งค่าการค้นหา
การเชื่อมต่อ (Input)
การเชื่อมต่อ (Output)
categories.productBar.categoryTitle :
”DAC-Amplifiers”
(categories.productBar.product 64 categories.productBar.unit)
DAC/Amplifier คืออะไร
DAC/Amplifier คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่งที่เป็นการนำ DAC และ Amplifier มารวมกันเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวซึ่งจะประกอบไปด้วยภาค DAC ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณจาก Digital ใ้หเป็น Analog ที่สามารถฟังได้เข้าใจได้ และทำการนำสัญญาณ Analog นี้มาขยายผ่านภาค Amplifier ที่จะให้ Output มาเป็นเสียงที่เราสามารถฟังได้ โดย DAC/Amplifier นั้นจะสามารถรับ Digital input ได้หลากหลายที่แต่นิยมๆ จะมี USB, Coaxial และ Optical มี Output หรือ Audio out ได้ทั้งแบบ Single-End และ Balanced ขึ้นอยู่กับว่าภาคป์ Amplifier เป็นวงจรแบบไหน โดยส่วนมากนั้น DAC/Amplifier ออกแบบออกมาสำหรับใช้งานกับหูฟังเป็นส่วนใหญ่ที่ช่วยเรื่องของความยุ่งยากในการต่อต่อพ่วงอุปกรณ์หลายๆชิ้นรวมถึงสายสัญญาณอีกด้วยหน้าที่ของ DAC/Amplifier ใน Audio System
DAC/Amplifier นั้นจากทำหน้าที่เป็นคั่นระหว่าง Source ต้นทางหรือไฟล์เพลงที่จะส่งมาแปลงในภาค DAC โดยปัจจุบันนั้นจะหลากหลายอุปกรณ์ที่ทำการส่งต่อไม่ว่าจะเป็น Computer, smartphone/DAP, CD/DVD/Blu-ray Player หรือ Streamer ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ Transport ที่ส่งไฟล์เพลงมาเข้าที่ DAC/Amplifier จากนั้นก็เท่าการต่อหูฟังออกมาเป็นเสียงเพลงให้ฟังกันวงจร Amplifier ใน DAC/Amplifier มีประโยชน์อย่างไร ทำไมถึงต้องมี?
ถ้าขาดภาค Amplifier แล้วเสียงที่ออกมาจากภาค DAC โดยตรงจะไม่สามารถฟังตรงได้เลยโดยเฉพาะเมื่อต่อเข้ากับ load นั้นบางครั้งสัญญาณที่ได้ไม่สามารถปรับ Volume ได้เลยเนื่องจากสัญญาณ Analog ที่ผ่านการแปลงจาก DAC นั้นจะอ้างอิงมาจากการ Mastering โดยตรง ดังนั้นภาค Amplifier จึงมีความสำคัญที่จะช่วยในการขยายสัญญาณจาก DAC ให้เหมาะสมกับ load ของการใช้งานในที่หมายก็หมายถึงหูฟังเป็นหลัก ที่แต่ละรูปแบบนั้นมี load ที่แตกต่างตาม impedance, Sensitivity, ขนาดและประเภทของหูฟังก็มีผลต่อ load ทั้งนั้นDAC/Amplifier VS DAC and Amplifier
DAC/Amplifier และ DAC ต่อกับ Amplifier นั้นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งทั้งสองแบบนั้นสามารถทำงานได้เหมือนกันไม่มีผิดแต่จะนิยมใช้ต่างรูปแบบโดย DAC/Amplifier นั้นจะนิยมใช้กับชุดพกพาหรือตั้งโต๊ะที่ใช้กับหูฟังเป็นหลัก ในส่วนของ DAC และ Amplifier แยกกันนั้นมักจะเจอในชุดลำโพงบ้านมากกว่า ซึ่งการใช้ DAC/Amplifier นั้นจะใช้งานได้สะดวกกว่าเนื่องจากทั้ง DAC และ Amplifier นั้นรวมกันอยู่ในอุปกรณ์ตัวเดียวทำให้ลดการใช้สายสัญญาณไปหนึ่งชุด นอกจากนี้ในกรณีเป็นแบบพกพา DAC/Amplifier ยังพกพาได้ง่ายกว่าแบบแยกชิ้น DAC และ Amplifier ซึ่งการแยกชิ้นนั้นจะนิยมใช้ในชุดเครื่องเสียงบ้านมากกว่า ซึ่งโดยทั่วๆไปจะให้เสียงที่ดีแต่ก็แลกกับความยุ่งยากในการต่อสายสัญญาณเพิ่มอีกชุดหลักในการเลือกใช้ DAC/Amplifier หรือ DAC Amplifier แยก
DAC/Amplifier ใช้งานได้สะดวกกว่าเนื่องจากเป็นการรวมอุปกรณ์สองอย่างในตัวเดียว มีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบ Desktop หรือ Portable มีราคาถูกกว่าและประหยัดค่าสายสัญญาณได้อีกหนึ่งชุด ส่วนใหญ่ออกมาให้ใช้กับหูฟังเป็นหลัก
DAC Amplifier แยกกัน ให้เสียงที่ดีกว่าเนื่องจากวงจรทั้ง DAC และ Amplifier แยกกัน ส่วนใหญ่ใช้ไฟบ้านเป็นหลักและมีภาคจ่ายไฟแยกกันในแต่ละส่วนทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า สามารถปรับแต่งหรือ tweak เสียงได้ด้วยสายสัญญาณ ส่วนใหญ่มักจะใช้กับลำโพงบ้าน
ประเภทของ DAC/Amplifier ตามลักษณะการใช้งาน
DAC/Amplifier นั้นจะมีการแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือแบบพกพาและแบบตั้งโต๊ะ ซึ่งจะต้องเลือกว่าจะต้องการใช้งานแบบไหนเป็นหลักDAC/Amplifier พกพา
แบบพกพานั้นส่วนใหญ่จะเป็น DAC/Amp จะใช้พลังงานจาก battery เป็นหลักซึ่งมีข้อดีคือสามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา DAC/Amplifier ประเภทนี้ยังแบ่งย่อยลงไปได้อีกคือแบบต่อสายและแบบไร้สายDAC/Amplifier พกพามีสาย เน้นต่อ Digital in แบบ USB,Coaxial หรือ Optical ที่เป็นที่นิยมและยังมีแบบ AES สำหรับบางรุ่น, รองรับไฟล์เพลงความละเอียดสูงถึงระดับ DSD มีให้เลือกหลายรูปแบบและขนาดตั้งแต่หางหูจนไปถึง DAC/Amplifier แบบตัวใหญ่(แต่ก็ยังพกพาได้) กำลังขับสูง
DAC/Amplifier พกพาไร้สาย เน้นการเชื่อมต่อจาก Bluetooth ในการส่งสัญญาณ Digital เป็นหลัก สามารถเล่นไฟล์ความละเอียดสูงสุดที่ 24/96 kHz (ขึ้นอยู่กับ codec ที่รองรับ) สามารถเล่นผ่านระบบ streaming จากมือถือได้สะดวกสบายนอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมี DAC/Amplifier รุ่นสูงๆหลายตัวที่ได้ใส่ระบบไร้สายลงไปในตัวด้วยจึงทำให้มีครบทุกรูปแบบในการใช้งานไม่ว่าจะเป็นต่อสายหรือไร้สายก็ทำง่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
DAC/Amplifier แบบตั้งโต๊ะ
มีการเชื่อมต่อหลากไม่ว่าจะเป็นต่อสายหรือไร้สาย บางรุ่นที่ option เป็น Music Streamer ได้ในตัว, เล่นไฟล์เพลงได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นไฟล์อะไรก็รองรับเกือบทั้งหมด มีกำลังขับสูงเนื่องจากต่อไฟบ้านจึงไม่มีพลังงานสำรองสูงกว่าใช้ batteryการใช้งาน DAC/Amplifier
โดยส่วนมากทางผู้ผลิตจะออกแบบให้ DAC/Amplifier ใช้งานได้แบบ Plug and Play คือต่อเข้าผ่าน USB ก็สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องหา Software หรือ Driver มาเพิ่มเติมนอกจากจะเล่นไฟล์เพลงความละเอียดที่สูงมากๆอย่าง PCM 32/384kHz หรือ DSD บ้างแบรนด์นั้นจะต้องทำการลง Driver ก่อนถึงจะเล่นไฟล์พวกนี้ได้ ในส่วน output อื่นๆนั้นสามารถต่อใช้งานได้เลยเพียงแค่เลือก input ให้ตรงกับสายที่ต่อเท่านั้นเองDAC/Amplifier มีข้อดีอย่างไร
อุปกรณ์ต่างๆที่สามารถเล่นเพลงในตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็น Smartphone หรือ Computer จะมีวงจร DAC/Amplifier แล้วทำไมถึงต้องซื้อมาใช้เพิ่มเติมอีกอาจจะเป็นคำถามที่หลายๆคนสงสัย ซึ่งจริงๆแล้วทุกอุปกรณ์ที่ติดมาให้ส่วนใหญ่เป็นวงจรเล็กๆที่คุณภาพเทียบกับ DAC/Amplifier ที่ต่อแยกออกมาไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเสียงหรือกำลังขับ หรือตาม trend ในยุคปัจจุบันที่แถมตัวแปลงจาก USB type-C/Lightning มาเป็น 3.5mm หรือหางหนูนั้นจะให้เสียงที่ด้อยกว่าแบบที่ซื้อแยกรวมถึงการรองรับไฟล์ที่มากกว่าอย่าง MQA หรือ DSD ที่ปัจจุบันนั้นนำมาเป็นจุดขายของอุปกรณ์ประเภทนี้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังให้แรงขับที่มากกว่าอย่างมากสามารถขับหูฟังประเภท Headphone ที่มี impedance ได้เป็นอย่างดีแนะนำ DAC/Amplifier แบรนด์ยอดนิยมในตลาด
DAC/Amplifier มีหลายรูปแบบและหลายแบรนด์ที่ผลิตสินค้าประเภทนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมี range ราคาที่กว้างตั้งแต่ไม่กี่พันบาทยันหลักแสนเลยก็มี เดี๋ยวจะพามาดู DAC/Amplifier ที่น่าสนกันครับShanling UP4 Dac-Amp พกพา
Shanling เป็นแบรนด์ที่ผลิตเครื่องเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน DAC/Amplifier ที่ Shanling ทำออกมาได้ดีโดย Shanling UP4 นั้นเน้นการเชื่อมต่อจาก Bluetooth เป็นหลักตัวเครื่องมีขนาดเล็กพกพาง่ายข้อดี ใช้ Dual DAC ESS Sabre ES9218P ให้คุณภาพเสียงและรายละเอียดที่ยอดเยี่ยม, ระบบการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth 5.0 รองรับ codec หลากหลายรวมถึง HWA และ LDAC, รองรับการใช้งานทั้ง Single-End 3.5mm และ Balanced 2.5mm สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน 15 ชม.แบบ Single-End และ 10 ชม.แบบ Balanced
ข้อเสีย จำกัด sample rate ที่ 24/96kHz และไม่รองรับ MQA, ช่องต่อ Balanced ยังไม่ใช่ 4.4 Balanced
Audioquest Dragonfly Cobalt USB DAC
Audioquest เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในด้านสายสัญญาณมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นสาย RCA, USB หรือ HDMI นอกจากนี้ Audioquest ยังเป็นแบรนด์แรกที่เริ่มผลิต DAC/Amp ขนาดเล็กที่ไม่ใช้ Battery ในตัวอย่างไลน์ Dragonfly มาอย่างยาวนานและ Cobalt นั้นเป็นรุ่นล่าสุดที่ให้เสียงอยู่ระดับบนๆของ USB DAC/Amp ในราคาต่ำกว่าหมื่นอีกด้วยข้อดี ใช้ DAC chip รุ่นสูงสุดอย่าง ESS Sabre 9038Q2M ทำให้เสียงมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก, ภาค Amplifier แรงสูง 2.1 Vrms จาก ESS 9601 ใช้งานกับหูฟังได้หลากหลาย, ใช้ Processor แบบใหม่ PIC32MX274 ทำงานให้ดีขึ้นและใช้หลังงานลดลง, รองรับกับอุปกรณ์หลากหลายทั้ง PC, MAC OS, Android และ iOS
ข้อเสีย อาศัยพลังงานจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อทำให้อุปกรณ์นั้นๆแบตหมดไวขึ้น, รองรับเฉพาะแค่ Single-End ไม่รองรับ Balanced
iFi NEO iDSD HD Bluetooth DAC
iFi เป็นบริษัทจากประเทศอังกฤษที่เชี่ยวชาญในการผลิต DAC/Amplifier ซึ่งทำออกมาแบบครบๆหลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว ในรุ่น iFi NEO iDSD นั้นเป็น DAC/Amplifier แบบตั้งโต๊ะที่มีการเชื่อมต่อที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นต่อสายหรือไร้สาย นอกจากนี้ยังใช้ภาคป์แอมป์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ให้เสียงมีความแม่นยำเที่ยงตรงระดับ Referenceข้อดี ใช้ DAC Texus Instruments Burr-Brown เป็น DAC chip พร้อม Femto Clock, เป็น DAC/Amplifier ตั้งโต๊ะที่มีการเชื่อต่อครบครันทั้งแบบใช้สายและไร้สาย, ภาค Amplifier ออกแบบใหม่ที่ให้เสียงมีความแม่นยำระดับ Reference, อุปกรณ์ภาคในทุกชิ้นเลือกใช้เป็นแบบ Audio grade ทั้งหมด
ข้อเสีย เป็น DAC/Amplifier แบบตั้งโต๊ะต้องมีไฟ AC เลี้ยงตลอดเวลา
Focal Arche DAC/Amp
Focal นั้นเป็นบริษัทที่ผลิตลำโพงใหญ่เป็นอันดับต้นๆและมีบริษัทอื่นๆอยู่ในเครือมากมายในธุรกิจประเภทนี้แบบครบวงจร Focal Arche เป็น DAC/Amplifier ระดับ Flagship ที่ออกมา match กับหูฟังของ Focal ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้ Amplifier แบบ Class A ที่ให้ความเพี้ยนน้อยที่สุด รวมกับใช้ DAC chip คุณภาพสูงจาก AKM อีกด้วยข้อดี ใช้ DAC chip AKM AK4490 เล่นไฟล์ความละเอียดสูงได้ถึง DSD256, ภาค Amplifier แบบ Class A ที่มีความเพี้ยนต่ำและกำลังสำรองสูง, ใช้ช่อง Balanced แบบ mini XLR ที่คุณภาพสูงสุดในแบบ Balanced สำหรับ Headphone ออกแบบหรูหราสวยงามและมาพร้อมขาตั้งหูฟังในตัว
ข้อเสีย Amplifier Class A ร้อนและกินไฟค่อนข้างสูง ออกแบบให้เสียงเข้ากับหูฟังของ Focal เองทำให้ใช้กับหูฟังที่ฉีกแนวไปจากนี้ใช้งานร่วมกันได้ไม่ดีนัก
หน้าที่ของ DAC-Amp
หน้าที่หลักๆ ของ DAC-Amp นั้นก็คือการใช้ DAC ถอดรหัสและแปลงสัญญาณเสียงจากรูปแบบ Digital กลับไปเป็น Analog ที่นักฟังเพลงให้ความเห็นกันว่ามีรายละเอียดและมีความสมจริงสูงกว่า จากนั้นจึงส่งออกและใช้ Amp ในการขับและขยายเสียงที่ได้ให้ดัง ขับออกมาแรงพอที่จะทำให้ไดรเวอร์ภายในหูฟังสามารถขับเสียงได้เต็มทุกรายละเอียดและเต็มคุณภาพ ซึ่งปกติการเล่นเพลงจาก Smartphone, Tablet, PC, Laptop หรืออุปกรณ์บางอย่างจะให้รายละเอียดเสียงได้ไม่เท่ากับการขับเสียงผ่าน DAC-Amp ที่ออกแบบมาเพื่อการนี้ โดยเฉพาะการขับเสียงประเภท Lossless และ Hi-Res Lossless ที่จำเป็นต้องมีการแปลงสัญญาณดิจิตอลกลับไปเป็น Analog แบบต้นฉบับก่อนจากนั้นจำเป็นต้องใช้แรงขับที่สูงพอประมาณถึงจะขับได้ครบถ้วนทุกรายละเอียดและใกล้เคียงกับคุณภาพสูงสุดของไฟล์เสียงประเภทนั้นๆ ซึ่งด้วยหน้าที่นี้เองที่ปฏิเสธไปไม่ได้จริงๆ ว่าในปัจจุบันตลาดของการฟังเพลงนั้นได้รับความนิยมที่แพร่หลายมากขึ้น แล้วก็ยังมีนักฟังเพลงอีกหลายคนที่รู้สึกว่าคุณภาพเสียงที่ได้จากการฟังเพลงจากหูฟังต่อกับ Smartphone หรืออุปกรณ์เล่นเพลงโดยตรงอาจจะยังให้ความละเอียดได้ไม่เพียงพอ หรือก็คือให้ได้ไม่ครบถ้วนเต็มที่เท่าที่ไฟล์คุณภาพสูงนั้นๆ ให้ได้ ซึ่งการที่จะฟังเพลงให้ได้คุณภาพเสียงแบบ Lossless หรือ Hi-Res Lossless อย่างสมบูรณ์แบบนั้นลำพัง Smartphone และ หูฟังแบบทั่วๆ ไปนั้นยังไม่เพียงพอ ทำให้อุปกรณ์สำหรับช่วยแปลงสัญญาณและขับเสียงอย่าง DAC-Amp เข้ามามีบทบาท
จริงหรือ ที่ DAC-Amp ช่วยให้รายละเอียดเพลงดีขึ้น
ด้วยหลักการทำงานของ DAC-Amp ที่ออกแบบมาเพื่อขับเสียงให้ได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด บนความคิดที่ว่าแปลงเสียงจาก Analog ไปเป็น Digital นั้นอาจทำให้เกิดการสูญเสียของรายละเอียดเสียง และการบีบอัดของไฟล์ Digital ทำให้คุณภาพเสียงด้อยลงไปจากเดิม รวมถึงการจะฟังเพลงให้ได้คุณภาพเสียงครบถ้วนใกล้เคียงกับต้นฉบับนั้นจำเป็นต้องผ่านกระบวนการการแปลงและถอดรหัสสัญญาณ ซึ่งเมื่อรวมกับประสบการณ์ของเหล่าผู้ที่ได้ฟังและใช้การฟังเพลงผ่าน DAC-Amp ก็ให้การยอมรับว่าช่วยให้รายละเอียดเพลงดีขึ้นจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่า DAC-Amp จะทำให้รายละเอียดเสียงของทุกเพลงดีขึ้นทั้งหมดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับไฟล์ที่นำมาเล่นด้วย หากไฟล์นั้นถูกบีบอัดมาจนมีขนาดที่เล็กมากนั่นหมายความว่ารายละเอียดเสียงดั้งเดิมจะกตัดทอนและบีบอัดจนหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งต่อให้ใช้ DAC-Amp ราคาหลักแสนก็ไม่สามารถทำให้รายละเอียดเสียงดีขึ้น ดังนั้นหากจะถามว่า DAC-Amp จำเป็นหรือไม่ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบฟังเพลงด้วยเสียงระดับ Master หรือ Hi-Res ที่ให้ประสบการณ์เสียงที่ไม่แพ้กับการไปนั่งฟังใน Studio หรือเสียงต้นฉบับก็บอกเลยว่าจำเป็นแน่นอน แต่ทั้งนี้องค์ประกอบอื่นๆ ก็ต้องครบถ้วนเช่นเดียวกันทั้งไฟล์เพลงแบบ Hi-Res, หูฟังที่มาพร้อมไดร์เวอร์ขับเสียงแบบ Hi-Res, เครื่องเล่นเพลงระดับ Hi-Res และแน่นอนว่า DAC-Amp สำหรับแปลงและขับเสียงระดับ Hi-Res ก็ขาดไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพื่อการฟังเพลงที่สมบูรณ์แบบ
การเชื่อมต่อของ DAC-Amp พกพา
ด้านการเชื่อมต่อชอง DAC-Amp จะอยู่บนพื้นฐานการใช้งานในการฟังเพลงผ่านหูฟังและการเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องเล่นเพลงเป็นหลัก ซึ่งถ้าพูดถึง DAC-Amp สมัยก่อนคงไม่มีใครคาดคิดว่าเทคดนดลยีจะพัฒนามาให้ DAC-Amp สามารถพกพาได้ โดยเมื่อก่อนถ้านึกถึง DAC-Amp ก็คงจะต้องนึกถึงความใหญ่ที่มีหลอดไฟบนตัว และแอมป์ใหญ่ๆ ที่ต่อกับเครื่องเสียงใหญ่ๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เพราะทรศัพท์ยังถูกลดขนาดให้เล็กลงในขณะเดียวกันก็ฉลาดขึ้นแบบ Smartphone สำหรับ DAC-Amp ก็เช่นหกันที่ปัจจุบันไม่ได้ใหญ่แบบนั้นแล้ว เพราะ DAC-Amp ในปัจจุบันมีตั้งแต่ขนาดใหญ่ที่ต้องตั้งโต๊ะหรือช้งานในบ้าน เคลื่อนย้ายได้อย่างยากลำบาก ไปจนถึงขนาดเล็กที่สามารถพกพาใส่กระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงได้หรือที่เรียกว่า DAC-Amp พกพา โดยสินค้าประเภทนี้ก็จะมาพร้อมการเชื่อมต่อที่หลากหลายและไม่จำเป็นต้องมีแต่การเชื่อมต่อแบบมีสายเท่านั้นเสมอไป เพราะ DAC-Amp พกพาในปัจจุบันนั้นจะมีการเชื่อมต่อทั้งมีสายและไร้สายผ่าน Bluetooth ทั้ง Input และ Output ดังนี้- การเชื่อมต่อมีสาย: ส่วนของการเชื่อมต่อแบบมีสายก็จะมีให้เลือกหลากหลายและตอบโจทย์การพกพาทั้ง AUX/3.5 mm., 6.3 mm., Balance 2.5, 4.4 mm., และ USB ซึ่งจะใช้การเชื่อมต่อเข้ากับ Smartphone หรือเครื่องเล่นเพลงผ่านทาง USB และขับเสียงเข้าหูฟังผ่านทางช่อง AUX และ Balance นั่นเอง
- การเชื่อมต่อไร้สาย: สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายก็จะเป็น Bluetooth ที่สั่งสัญญาณได้ทั้ง Input และ Output และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีการส่งสัญญาณเสียงคุณภาพสูงผ่าน Codec ไร้สายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น aptX ที่ให้คุณภาพเสียงได้เทียบเท่ากับแบบ CD หรือจะเป็นเทคโนโลยี LDAC ของ Sony ที่ส่งสัญญาณเสียงไร้สายได้ในระดับ Hi-Res Lossless และอีกหลายเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอยู่ซึ่งจะมาในอนาคตก็ยิ่งทำให้การส่งสัญญาณไร้สายมีคุณภาพเทียบเท่ามีสาย
DAC-Amp แบรนด์ไหนดี
หากจะให้พูดถึง DAC-Amp แบรนด์ยอดนิยม ถ้าเป็นเมื่อก่อนแบรด์ที่เหล่านักฟังเพลง และสายหูทองนิยมก็มักจะเป็นแบรนด์จากฝั่งตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแบรนด์จากฝั่งยุโรป และแบรนด์จากฝั่งญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งที่โดดเด่นด้วยการออกแบบที่หรูหราคลาสสิค สเปคภายในที่อัดแน่นจัดเต็มครบถ้วนทุกการใช้งาน และด้านการใช้งานที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายในขณะเดียวกันก็มีประสิทธิภาพการใช้งานที่สูงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการประมวลผลเสียง ภาคของการถอดรหัสในส่วนของ DAC รวมไปถึงภาคขยายเสียงในส่วนของ Amp นอกจากนั้นในส่วนของ Hardware อื่นๆ ก็เลือกใช้แต่วัสดุระดับพรีเมียมที่นอกจากจะมีความทนทานแล้วยังมีข้อดีในเรื่องของการขับเสียงและให้สัญญาณที่เสถียร โดยแบรนด์เด่นยอดนิยมมีดังนี้Sony
iFi
Topping
Fiio
Audioquest
Creative
DAC-Amp พกพายอดนิยม
และจากบรรดาแบรนด์ยอดนิยมที่นำมาแนะกันด้านบน หากคุณกำลังมองหา DAC-Amp รุ่นยอดนิยมสักตัวไว้สำหรับฟังเพลงคุณภาพเสียงระดับ Hi-Res Lossless ทั้งจากเครื่องเล่นเพลงและการฟังจาก App Streaming คุณภาพสูงอย่าง Apple Music Hi-Fi และ Tidal ทาง Mercular.com ก็มี DAC-Amp รุ่นยอดนิยมที่รับรองว่าโดดเด่นทั้งด้านคุณภาพการใช้ สเปคระดับไฮเอนด์ และรูปร่างการออกแบบระดับพรีเมียมอีกด้วย โดยรุ่นเด่นๆ มีดังนี้
Audioquest Dragonfly Cobalt USB DAC
Topping D50s Dac-Amp
iFi Hip DAC
Shanling UP4 Dac-Amp พกพา
Fiio Q3 Dac-Amp
DAC คืออะไร
DAC เป็นตัวย่อของ Digital to Analog Convertor มีอีกชื่อย่อว่า D/A เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่มนการแปลงสัญญาณ Digital โดยจะเป็น Binary ที่ประกอบไปด้วย 0 และ 1 แปลงให้เป็นสัญญาณ Analog แต่โดยส่วนมากนั้นจะไม่สามารถนำสัญญาณ Analog ตรงนี้มาฟังได้โดยตรงแต่จะต้องผ่าน Amplifier อีกทีถึงจะทำให้สามารถฟังได้หน้าที่ของ DAC ใน Audio System
DAC นั้นจะจะรับข้อมูล Digital จาก Transport ซึ่งโดยทั่วๆไปจะส่งผ่านทาง USB,Coaxial หรือ Optical อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งการส่งข้อมูลแต่ละแบบนั้นจะมีข้อแตกต่างกันดังนี้USB
Input เชื่อมต่อกับ DAC ช่องทางที่นิยมใช้กันมากที่สุดและเป็น input เดียวที่ไม่มี limit ของ sampling rate สามารถส่งไฟล์ได้ถึง DSD512Coaxial
Digital input อีกแบบที่มีให้เห็นอยู่โดยเฉพาะชุดตั้งโต๊ะหรือจากอุปกรณ์อย่าง CD transport และเครื่อง DAP มักจะมี Output รูปแบบนี้มาให้ใช้จุดเด่นของการเชื่อมต่อประเภทนี้คือจะให้ความเป็นดนตรีสูงกว่ารูปแบบอื่นๆ ให้ sampling สูงสุดที่ PCM 32/384kHzOptical
เป็น Digital input ที่ให้ sampling ได้น้อยที่สุดในสายมากที่สุดที่ 24/192kHz โดยสวนมากการเชื่อมต่อรูปแบบนี้จะพบมากใน TV ที่มี Output ประเภทนี้แทบทุกตัว นอกจากนี้เครื่อง DAP ก็นิยมใช้ Digital out รูปแบบนี้เช่นกัน (แต่มีน้อยลงกว่าแต่ก่อนลงมากๆ)DAC VS DAC/Amp
ข้อดีของการใช้ DAC แยกชิ้นคือการจ่ายไฟไปให้ภาค DAC นั้นเป็นไปได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องค่อยแบ่งไฟไปให้กับภาค Amplifier ทำให้เสียงนั้นจะให้การแยกรายละเอียดที่ดีกว่าความถึงการรบกวนต่างหรือ noise นั้นน้อยกว่า รวมถึงพื้นที่ในการวางวงจรที่มากกว่าด้วย แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่างเพราะ DAC นั้นไม่สามารถใช้งานตัวเดียวได้จะหาต้อง Amplifier มาเพิ่มและต้องการสายสัญญาณ Analog ด้วย ในส่วนของ DAC/Amp นั้นจะไม่ต้องหามาเพิ่มเติมในสวนของสาย Analog ระหว่าง DAC และ Amplifier นอกจากนี้ยังมีหลากหลายรูปแบบที่มากกว่า DAC ที่ 95%+ เป็นแบบตั้งโต๊ะ นอกจากนี้ DAC และ DAC/Amp นั้นแทบจะเรียกว่าเป็นสินค้าต่างประเภทและกลุ่มลูกค้าเลยทีเดียวส่วนใหญ่นั้น DAC จะเน้นเป็นกลุ่มทางเครื่องเสียงบ้าน(ในหูฟังนั้นเคยมีอยู่เพียง 3-4 เท่านั้น) ในส่วนของ DAC/Amp นั้นจะมีในกลุ่มของหูฟังเท่านั้นในส่วนของเครื่องบ้านนั้นจะเป็น Integrated Amp with DAC เมื่อใช้กับลำโพงแบบ Passive ถ้าเป็นกรณีของ DAC/Amp นั้นจะทำหน้าที่เป็น Pre-amp ในระบบที่แตกต่างจากใช้งานหูฟังจุดสังเกตของ DAC ส่วนใหญ่จะเป็นแบบตั้งโต๊ะ เป็นส่วนประกอบของ System เครื่องเสียงบ้านสำหรับชุดลำโพงแบบเป็นส่วนใหญ่ เหมาะสำหรับผู้ต้องการความสุดเท่าที่ระบบเสียงที่จะทำได้
จุดสังเกตของ DAC/Amp มีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะพกพาหรือตั้งโต๊ะ สามารถใช้เป็นต่อเข้ากับ Source แล้วออกมาฟังได้ทันทีในกรณีต่อหูฟัง ส่วนลำโพง Passive ทำหน้าที่เป็น Pre-amp ที่มี DAC ในตัว ใช้งานได้สะดวกกว่าลดการใช้งานของสาย Analog ไป 1 ชุด
การใช้งานของ DAC
การใช้งาน DAC นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับ Source หรือ Transport โดยตรงซึ่งสำหรับเครื่องเสียงบ้านนั้นจะใช้งานผ่าน Computer, Streamer หรือ CD Transport โดยการส่ง Digital output มาทางใดทางหนึ่งเข้ามาที่ตัว DAC หลังจากนั้นก็ส่งต่อไปยัง Pre-Amp และ ไปยัง Amp ไปสิ้นสุดที่ปลายคือลำโพงแบบ Passive Speakerสรุปการต่อ DAC ในรูปแบบต่างๆ
แยกชิ้นทั้งหมด Source/Transport >(Digital)> DAC >(Analog)> Pre-Amp >(Analog)>Power Amplifier>(Analog)> Speakerใช้งานกับ Integrated Amp Source/Transport >(Digital)> DAC >(Analog)> Integrated Amplifier>(Analog)> Speaker
ใช้งาน DAC/Amp(ต้องมี Pre-Amp out) Source/Transport >(Digital)> DAC\Amp >(Analog)> Power Amplifier>(Analog)> Speaker
แนะนำ DAC ที่น่าสนใจในแต่ระดับราคา
DAC นั้นมีหลากหลายราคามากๆมีตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่หลักพันถึงหลักล้านบาทเลยก็มีเรามาดู DAC ที่น่าสนใจในแต่ละระดับกันดีกว่าว่าจะมีตัวไหนน่าสนใจบ้างเสียงของ DAC นั้นจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัว DAC แต่จะขึ้นอยู่กับระบบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Pre-Amp,Amp สายสัญญาณแตกต่างที่ DAC แพงขึ้นจะสามารถเก็บรายละเอียดรวมถึง Ambient เล็กน้อยๆได้ครบถ้วนมากกว่า ซึ่งลงไปเชิงลึกจะต้องมีการ match ระหว่างอุปกรณ์และการปรับแต่งอีกมากจึงไม่ข้อเน้นในจุดนี้มากนัก
ระดับเริ่มต้น
Topping D70S MQA DAC
Topping เป็นแบรนด์จีนที่เน้นผลิต DAC, Amplifier และ DAC/Amp ในแบบต่างที่จัด Spec ให้สูงมากๆและยังใส่ Features ต่างมาแบบไม่ยังทำให้มีความนิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะผู้ที่อยากลองมาใช้ระบบตั้งโต๊ะซึ่งส่วนมากมีราคาแพง DAC ระดับเริ่มต้นของ Topping ที่มาพร้อม Spec สุดคุ้มค่าไม่ว่าจะเป็นการใช้ Dual DAC AKM AK4497 ที่แทบจะหาไม่ได้ในกลุ่มราคานี้ DAC ตัวนี้สามารถถอดรหัส MQA ได้อีกด้วยรวมถคงการเชื่อมต่อจากมือถือผ่านระบบ Bluetooth และสามารถ Stream ได้จากมือถือโดยตรงระดับ Midrange
Topping D90 Full Balanced DAC
DAC Flagship จาก Topping ที่จัด Spec มาแบบโหดจนเทียบเท่าระดับเดียวกับ DAC ระดับ High-End ไม่ว่าจะเป็นการใช้ DAC AKM AK4499 ใช้เสียงในระดับทีเดียวกับ DAC แพงๆเลย นอกจากนี้ยังมี input/output อย่างครบๆสามารถไม่ว่าจะเป็น Balanced หรือ Single-End นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth ที่รองรับการ Steam เพลงจากมือถือได้อีกด้วยCayin iDAC-6MK2 DAC
Cayin เป็นบริษัทจากจีนที่เชี่ยวชาญในการทำเครื่องเสียงที่ใช้หลอดสุญญากาศในการผลิตที่ให้เสียงนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้เลย และ Cayin iDAC-6MK2 DAC ตัวนี้ก็มีการใช้หลอดสุญญากาศที่ช่วยเรื่องความนุ่มนวลแต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องรายละเอียดด้วยการใช้ Dual DAC ESS Sabre 9028Pro 8 channel ที่ให้รายละเอียดแบบสุดๆ และความพิเศษอีกอย่างคือมีการใช้หน้าจอ AMOLED แสดงผล 3.95นิ้ว ทำให้การใช้งานสะดวกสบายกว่าคู่แข่งตัวอื่นๆระดับ Hi-end
Mytek Manhattan DAC II
Mytek เป็นแบรนด์ที่ผลิตอิเล็คทรอนิคส์เกี่ยวกับเครื่องเสียงคุณภาพสูงจาก USA ที่ผลิต DAC ออกมาในระดับ Hi-end ที่ให้เสียงโดดเด่นในการขุดรายละเอียดออกมาได้อย่างครบๆ โดย Manhattan DAC II นั้นเป็นรุ่นใหม่ที่ลดความ Aggressive ลงทำให้การ matching กับอุปกรณ์อื่นๆนั้นทำได้งานขึ้นเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ได้ตัดทอนรายละเอียดลงเลยระดับ Ultra Hi-End
NAGRA HD DAC
สุดยอด DAC จากแบรนด์ Narga ที่เป็นระดับ Ultra High-End ที่นักเล่นเครื่องเสียงแทบทุกคนใฝ่ฝันอยากครอบครองโดยอุปกรณ์ทุกชิ้น Made in Switzerland ทุกตัวและในรุ่น Nagra HD DAC นั้นเป็นหนึ่งใน DAC ที่ดีที่สุดในโลกแทบจะเป็น reccomeded ในหมวดงบไม่จำกัดอยู่เสมอด้วยราคาค่าตัวต่ำกว่าล้านบาทนิดหน่อย(31000USD)สรุป
การเลือกซื้อ DAC นั้นส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์เรื่องเครื่องเสียงพอสมควรดังนั้นเวลาเลือกซื้อควรคำนึงถึงระบบแบบภาพรวมก่อนที่จะหาส่วนนี้มาแทนที่อุปกรณ์ชิ้นเดิมนั้นอาจจะต้องคำนึงถึงความ matching เป็นหลักซึ่งส่วนมากนั้น DAC ทุกตัวแทบจะรักษา Signature ของ DAC chip ไว้ยกเว้นแต่ DAC ระดับ Hi-End ขึ้นไปที่เริ่มมีการใช้ DAC แบบ In-House หรือ R2R ทำให้การเลือกที่ความซับซ้อนขึ้นไปอีก(แต่ส่วนมาก DAC นั้นจะเน้นเรื่องความถูกต้องของเสียงแบบ Reference) สำหรับใครที่อยากลองหา DAC มาใช้งานพร้อม Amplifier นั้นลองมาเลือกดูได้ที่ Meruclar นอกจากจะมีสินค้าคุณภาพแล้วยังมีบทความดีเกี่ยวกับด้านเสียงและงานอดิเรกอื่นๆให้เลือกอ่านอย่างจุใจอีกด้วย
Amplifier คืออะไร
Amplifier คือภาคขยายของสัญญาณ Analog ที่รับมาจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งโดยส่วนมากไม่ว่าจะเป็นจาก DAC, CD/DVD/Blu-ray Player หรือ DAP ซึ่งสัญญาณเมื่อผ่านการขยายแล้วจะทำให้สัญญาณแรงขึ้น(ตรงนี้ค่อนข้างจะ Tricky ตรงที่สัญญาณแรงไม่ได้หมายความว่าจะดังขึ้นเป็นคนละส่วนกัน)ประเภทของ Amplifier
Amplifier นั้นจะมีหลายประเภทให้เลือกโดยจะมีแบบพกพาที่ออกแบบมาให้ใช้สำหรับหูฟัง ซึ่งโดยปกตินั้นจะเรียกว่า Protable Headphone Amplifier นอกจากนี้ยังมีแบบ Desktop อีกด้วยซึ่งจะให้แรงขับที่สูงกว่าแบบ Portable นอกจากนี้ยังมี Amplifier สำหรับลำโพงแยกออกมาอีกด้วยHeadphone Amplifier
Amplifier รูปแบบนี้นั้นจะถูกออกแบบให้มาเพื่อใช้งานสำหรับหูฟังโดยเฉพาะโดยส่วนมากจะใช้แรงขับไม่ถึง สูงสุดไม่ถึง 10W โดยจะแบ่งเป็น 2 ประเภทPortable เป็น Headphone amplifier ที่มีขนาดที่สามารถพกพาได้(แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่)ซึ่งปัจจุบันแต่รุ่นระดับ High-End ที่ออกมาวางจำหน่าย
Desktop เป็น Headphone Amplifier สำหรับหูฟังที่มีแรงขับสูงและมีให้เลือกค่อนข้างให้เลือกหลายแบบหลายราคา โดยจะแบ่งเป็น Headphone Amplifier ทั่วๆไปและสำหรับ Electrostatic Headphone Amplifier
Speaker Amplifier
Speaker Amplifier นั้นจะแบ่งเป็นสองแบบโดยที่แตกต่างกันคือจะมีแบบดังนี้Integrated Amplifier เป็น Amplifier ที่ทำรวมทั้ง Pre-amp และ Power Amp รวมกันเป็นตัวเดียวกันซึ่งทำให้ใช้งานได้สะดวก
Power Amplifier เป็น Amplifier ที่ต้องการ Pre-amp เป็นตัวควบคุม Volume รวมถึงรับสัญญาณต่อจาก Source ต่างๆ
วงจรแบบต่างๆของ Amplifier
วงจรของแอมป์นั้นจะมี 2 ประเภทดังนี้Single-End วงจรประเภทนี้เป็น Amplifier ที่เห็นได้แทบจะเป็น 99% ของตลาดซึ่งวงจรประเภทนี้จะแยก Channel ซ้าย-ขวา โดยทั้ง Ground ซ้ายและขวารวมกันเป็นจุดเดียว ข้อดีของวงจรแนวนี้คือใช้อะไรน้อยกว่าและออกแบบได้ง่ายร่วมถึงให้เสียงที่มีความนุ่มนวลลื่นไหลอีกด้วย Output จะเป็นแบบ 3.5mm หรือ 6.35mm และ RCA สำหรับ Speaker
Balanced วงจรที่เหมือนนำแบบ Single-End มาออกเป็นซ้ายขวาซึ่งข้อดีให้เสียงที่สะอาดรวมถึงรายละเอียดที่มากกว่าแบบ Single-End แต่วงจรประเภทนี้จะมีราคาแพงเนื่องจากใช้อะไหล่มากกว่าถึงเท่าตัวโดย Output จะเป็น 2.5, 3.5Pro, 4.4 และ XLR
Class ของ Amplifier
Class ของ Amplifier ยอดนิยมที่พบเห็นได้ในตลาดนั้นจะมีให้เห็นบ่อยๆดังนั้นClass A
ให้เสียงเที่ยงตรงเหมือนต้นฉบับและคุณภาพดี, มีความเพี้ยนต่ำมาก, ต้องใช้ไฟเลี้ยงตลอดเวลาจึงทำให้กินไฟและร้อนClass B
ใช้พลังงานไม่สูงปล่อยความร้อนต่ำ, ให้แรงขับสูงมาก, ความเพี้ยนสูงมาก คุณภาพไม่ค่อยดี
Class A/B
เป็นการรวมข้อดีของทั้ง Class A และ B, เสียงดีและไม่ร้อนแบบ Class A, เสียงยังห่างกับ Class AClass D
แรงขับสูงมาก, ให้เสียงระดับเดียวกับ Class AB, ไม่เหมาะกับการใช้กับ Tweeter ที่มีขนาดเล็กมากๆการเลือกซื้อ Amplifier
การเลือกซื้อนั้นจะต้องเลือกจากประเภทการใช้งานเป็นหลักซึ่งเราจะมาดู Amplifier ที่น่าสนใจในแต่ละประเภทกันแนะนำ Portable Headphone Amplifier
Cayin C9 Portable Amplifier
เป็น Amp พกพาที่กำลังสูงมากๆสามารถขับ Headphone ได้แทบทุกตัว, เป็น Amp พกพาที่มี mode ให้เลือกถึง 3 mode คือ A, AB และหลอด, สามารถปรับ gain ให้เหมาะสมกับหูฟังได้ทุกแบบ, มี mode Pre-out ใช้เป็น Pre-amp ให้ Power Amp ได้, ใช้ Nu-Tube ที่มีอายุการใช้งานยาวนานแนะนำ Headphone Amplifier
แอมป์ iFi Pro iCan
Amplifier สำหรับ Headphone ที่มีกำลังสูงถึง 14W, วงจรแบบ Balanced ที่รองรับทั้ง 4.4mm และ XLR, มีรีโมทควบคุมมาให้ในกล่อง, ให้เสียงเที่ยงตรงในโหมด solid-state และให้เสียงนุ่มนวลเมื่อใช้โหมดหลอดแนะนำ Integrated Amplifier
Audiolab Integrated With Bluetooth 6000A Amplifier
เป็น Integrated amplifier ที่มี DAC ในตัว ESS Sabre ES9018, มีการเชื่อมต่อหลากหลายไม่ว่าจะ Digital หรือ Analog, รองรับการเล่นต่อจาก Bluetooth ส่งมาจากมือถือได้โดยตรง, เป็นหนึ่ง Amplifier ที่เสียงดีและคุ้มค่าที่สุดตัวหนึ่งใน Range ราคาแอมป์หลอดแก้วสุญญากาศ Cayin HA-300 Amplifier
สุดยอดแอมป์หลอดจาก Cayin ที่รองรับการใช้งานแบบ Single-End และ Balanced, ใช้หลอดสุญญากาศ 300B และ 6SN7, มี VU-meter ที่แสดงการวัดกระแสของการทำงาน, มี Power Supply แยกทำให้มี Noise ในระบบต่ำ, มี Amplifier สำหรับ Headphone คุณภาพสูงสรุป Amplifier
Amplifier ดีๆสักตัวนั้นจะเปลี่ยนประสบการณ์ในการฟังเพลงไปได้อย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหูฟังหรือลำโพงรุ่นสูงๆนั้นจะเห็นผลเป็นอย่างมาก สำหรับใครทีกำลังเลือกหา Amplifier รูปแบบไหนทาง Mercular ก็มีให้เลือกได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เครื่องเสียงให้เลือกได้แบบครบทั้ง system ได้ในที่เดียว