Siri ชื่ออะไร? Siri ทำอะไรอยู่? เหล่าคนขี้เหงารู้ไหม Siri มีที่มายังไง

20 ก.พ. 2566

Siri ชื่ออะไร? Siri ทำอะไรอยู่? เหล่าคนขี้เหงารู้ไหม Siri มีที่มายังไง

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกเปิดตัวเป็นในปี 2011 จนถึงทุกวันนี้ Siri นั้นก็ได้กลายเป็นหนึ่งในไอคอนสำคัญของ Apple และวงการเทคโนโลยีโลกในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ และถ้าพูดถึงระบบผู้ช่วยอัจฉริยะหรือการสั่งการด้วยเสียงที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีละก็ ชื่อของ Siri นั้นก็ต้องเป็นชื่อแรกๆ ที่ทุกคนต้องนึกถึงกันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกันคนที่เป็นสาวก iPhone, iPad หรือแม้แต่สมาร์ทวอทช์อย่าง Apple Watch ก็น่าจะได้เคยสัมผัสการความสามารถที่ยอดเยี่ยมสุดๆ ของ Siri กันมาแล้ว แต่ถึงแม้ว่าจะเจ๋งขนาดไหน แต่รู้หรือไม่ว่าทำไม Siri ถึงได้เป็นหนึ่งในระบบ AI ที่ฉลาดได้ถึงขนาดนี้ รวมถึงต้นกำเนิดของ Siri ที่ไม่ได้ถือกำเนิดที่ Apple ด้วยซ้ำ แถมเรื่องราวเหล่านี้ ก็ยังมีคนไทยเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ใครที่อยากรู้เรื่องราว ความลับของเจ้าผู้ช่วยสุดล้ำนี้อยู่ละก็ วันนี้ Mercular.com ได้รวบรวมเรื่องราวทั้งหมดมาไว้ที่บทความนี้แล้ว ส่วนจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นมาติดตามอ่านกันได้เลย

hey siri iphone closeup bottom

Siri คืออะไร โปรแกรมผู้ช่วยสุดล้ำจาก Apple

สำหรับใครที่ไม่รู้จัก หรือจำไม่ได้จริงๆ นั้น Siri หรือที่คนไทยออกเสียงว่า “สิริ” นั้นเป็นโปรแกรม ซอฟแวร์ผู้ช่วยเสมือนอัจฉริยะของทาง Apple ซึ่งแทบจะพบได้ในอุปกรณ์ของ Apple แทบทุกชิ้น ตั้งแต่โทรศัพท์ iPhone แท็บเล็ต iPad หูฟัง Airpods คอมพิวเตอร์ Mac และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายของ Apple โดยความโดดเด่นของ Siri นั้นไม่ได้เป็นแค่ระบบการสั่งการด้วยเสียงทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่ Siri นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า Natural-language User Interface ระบบคอมพิวเตอร์อินเตอร์เฟสที่ทำให้ Siri นั้นสามารถเข้าใจในการสื่อสาร ภาษาพูดของมนุษย์ได้ พร้อมกับสามารถโต้ตอบคำถามของเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับว่าเรากำลังโต้ตอบตอบกับคนจริงๆ อยู่เลย ซึ่งนอกจากภาษาการสื่อสารที่ลื่นไหลแล้ว Siri ก็ยังเป็นระบบ AI ที่สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าเราจะสั่งให้เปิดแอพฯ หรือเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ หรือจะสั่งให้ตั้งเวลานัดหมาย การประชุมต่างๆ ไปจนถึงการค้นหาข้อมูลต่างๆ นั้น Siri ก็สามารถจัดการทุกอย่างให้แบบเสร็จสรรพ โดยที่เรานั้นทำเพียงแค่ “พูดออกคำสั่งเท่านั้นเอง”

hey siri iphone listening soundwave

ต้นกำเนิดของ Siri ที่ไม่ได้เริ่มที่ Apple

แม้ว่าภาพจำของ Siri นั้นจะอยู่คู่กับอุปกรณ์ของ Apple อย่าง iPhone เป็นหลัก แต่ทว่า Siri นั้นไม่ได้ถูกพัฒนาโดยบริษัทเทคชื่อดังเจ้านี้มาตั้งแต่ต้น ซึ่งต้นกำเนิดของ Siri นั้นก็ต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2003 นู่นเลย โดยนะตอนนั้น สำนักโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม หรือ DARPA นั้นต้องการที่จะพัฒนา และวิจัยโปรแกรมผู้ช่วย AI ขึ้นมาเพื่อช่วยในการจัดการข้อมูลทางทหารต่าง โดยร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ชื่อว่า SRI International ร่วมกันพัฒนา AI ต้นแบบในชื่อว่า CALO Project ซึ่งแนวคิดและการทำงานของโปรเจ็กต์เองก็เป็นต้นแบบของการพัฒนา Siri อีกด้วย


และต่อมาในปี 2007 นักวิจัยใน SRI International ทั้งสามคน ได้แก่ Adam Cheyer, Dag Kittlaus และ Tom Gruber ก็ได้มองเห็นช่องทางที่จะสร้างรายได้จากโปรเจกต์ที่พวกตนนั้นกำลังทำอยู่ ทั้งสามจึงได้แยกตัวออกมkก่อตั้งบริษัทของตนเองในชื่อว่า “Siri” ซึ่งชื่อนี้ก็เป็นไอเดียมาจากเพื่อนร่วมงานชาวนอร์เวย์ที่ชื่อว่า Siri เหมือนกัน แถมชื่อนี้เองก็ยังมีความหมายที่ดีว่า “หญิงสาวสวยงามผู้นำมาซึ่งชัยชนะ” ในภาษานอร์เวย์ด้วย และต่อมา พวกเค้าก็หยิบเอาเทคโนโลยี Speech Recognition มาใส่ใน AI ของตนเอง ซึ่งในจุดนี้เองก็ทำให้ Siri นั้นกลายเป็น AI ที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาพูดแบบที่เราคุ้นเคยกัน


ส่วนเสียงที่เราได้ยินจาก Siri นั้น ว่ากันว่าได้ต้นแบบมาจาก Susan Bennett นักพากษ์เสียงชาวอเมริกันที่เคยบันทึกเสียงให้กับบริษัท ScanSoft เมื่อปี 2005 เพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลสำหรับโปรเจ็กต์ด้านเสียงอื่นๆ ก่อนที่ต่อมาเสียงของเธอจะถูกเลือกใช้ในโปรเจ็กต์ Siri ซึ่งถึงว่าจะไม่ได้รับการยืนยันจากทาง Siri และ Apple เองว่าเป็นเสียงของ Bennett จริงหรือไม่ แต่ก็ได้มีการพิสูจน์โดยผู้เชี่ยญชาญด้านเสียงต่างๆ ว่าเสียงของ Siri นั้นเป็นเสียงของ Bennett อย่างแน่นอน


และหลังจากที่พัฒนามาได้ซักพัก Siri ก็เริ่มที่จะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น จนกระทั่งปี 2010 Cheyer และทีมงานก็ตั้งใจที่จะเปิดตัว Siri ในระบบ Android และโทรศัพท์มือถือ Blackburry ก่อนที่จะต้องยกเลิกแบบถาวรไป เพราะพวกเขาจะได้ข้อเสนอจาก Steve Jobs บิดาของ Apple ในการขอซื้อ Siri โดยที่ทั้งสองฝ่ายตกลงและควบรวมบริษัทเข้ากับ Apple ซึ่งหลังจากรวมกันได้ไม่นานนัก Jobs ก็รู้สึกไม่ชอบชื่อของ Siri และต้องการที่จะเปลี่ยนชื่อเรียกของมัน ซึ่งทาง Kittlaus ก็พยายามเกลี้ยกล่อม Jobs ให้ใช้ชื่อนี้ต่อ และสุดท้าย CEO Apple คนนี้ก็ไม่สามารถหาชื่อที่ดีกว่านี้ได้ และยอมใช้ชื่อ Siri ต่อไปในที่สุด


อีกหนึ่งปีต่อมา Siri ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวเป็นครั้งแรก คู่กันกับสมาร์ทโฟนในตำนานอย่าง iPhone 4S ซึ่งการเปิดตัว Siri นั้นสร้างความฮือฮาให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถในการสั่งการด้วยเสียง ความเร็วในการโต้ตอบ และความฉลาดในการจัดการทำงานและการเลือกใช้คำพูดที่มีความเป็นมนุษย์ ทำให้ Siri นั้นกลาย Talk of the Town ภายในชั่วข้ามคืน และเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสุดท้ายภายใต้การบริหารของ Steve Jobs ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพียง 1 วันหลังเปิดตัวได้ไม่นาน

judgement scales closeup man suit pen signing paper

คนไทย ผู้อยู่เบื้องหลัง Siri ที่ไม่มีใครรู้

และหากย้อนไปซักประมาณปี 2012 นั้น ก็เคยมีข่าวใหญ่ที่เป็นที่ฮือฮาในสังคมเป็นอย่างมาก หลังจากที่บริษัท Dynamic Advances นั้นยื่นฟ้อง Apple ฐานละเมิดลิขสิทธิ์สิทธิบัตรหมายเลข 177798 B2 ที่เป็นผลงานวิทยานิพนธ์ของศาสตราจารย์ Cheng Hsu และรองศาสตราจารย์ ดร. วีระ บุญจริง อาจารย์วิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ขณะนั้นเป็นนักศึกษาปริญญาเอกอยู่ ซึ่งวิทยานิพนธ์ดังกล่าวนั้นตีพิมพ์ขึ้นในปี 2007 ว่าด้วยเรื่องของหลักการ Natural User Interface ที่ดร. วีระนั้นเป็นคิดค้นขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ Siri นั้นสามารถทำการสื่อสารและหาคำตอบได้อย่างที่เราเห็นกัน ซึ่งหลังจากกระบวนการฟ้องร้องกันมานานถึง 4 ปี ในที่สุดปี 2016 นั้น ศาลพิพากษาสหรัฐฯ นั้นก็ตัดสินให้ฝั่งของดร. วีระ และ Dynamic Advances ชนะคดี และให้ Apple จ่ายค่าเสียหาย 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่คนไทยคนเก่นนั้น ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่สร้างชื่อไปทั่วโลก

ipad homepod top view black

การมาของ Siri นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการ Tech และ AI พอสวมควร เพราะไม่ใช้เพียงแค่เรื่องของเทคโนโลยีและความสามารถที่โดดเด่นนี้ที่ทำให้มันเป็นที่สนใจเท่านั้น แต่ความเข้าใจได้ง่าย สั่งการได้ไม่ยุ่งยากนั้น ทำให้ Siri นั้นครองใจเหล่าสาวก Apple ทั่วโลกได้ในเวลาไม่นาน และเป็นตัวจุดกระแสให้เกิด Smart Assistant และ AI ต่างๆ ตามมามากมายทั้ง Amazon Alexa, Google Assistant และล่าสุดนี้เองก็ ChatGPT ที่กลับมาสร้างปรากฎการณ์ AI Fever ขึ้นอีกครั้ง และเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า Siri และ Apple ยังคงเป็นผู้นำเทรนด์ของวงการ Tech แบบไม่เสื่อมคลายจริงๆ

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2