เงินทุนจำนวนมหาศาลจาก Apple-II ทำให้บริษัทอย่าง Apple เติบโตอย่างรวดเร็ว จากพนักงานหลักสิบ พวกเขาขยายทั้งขนาดของบริษัทและโรงงานของตัวเองในเวลาไม่กี่ปี แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นบางครั้งก็กลายเป็นดาบสองคม อย่างการเปิดตัว สินค้าใหม่ 2 ชิ้นหลังจากนั้น ความล้มเหลวอาจจะเกิดจากความเร่งร้อนที่จะเติบโตของ Apple จนทำให้เขาต้องสูญเสีย ผู้นำ และผู้ก่อตั้งฝีมือดีอย่าง Steve Jobs ไป และทำให้ชื่อของแบรนด์ Apple ล้มเหลวจนเสี่ยงจะล้มละลาย

____<ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 1 (คลิก)

เครื่อง Apple Lisa เป็นคอมพิวเตอร์ Hi-end ที่ Steve Jobs ลงมานำทีมออกแบบเขาต้องการสร้างคอมพิวเตอร์ที่ตอบสนองการใช้งานในองค์กรได้ยอดเยี่ยมกว่า Apple-II และนั่นหมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ใคร ๆ ก็สามารถใช้งานได้ พวกเขาจึงมีการออกแบบ UI ที่เป็นกราฟฟิค หรือก็คือต้นแบบของหน้า desktop ต่าง ๆ ที่เราใช้ในปัจจุบัน ซึ่งก่อนวันจำหน่ายของ Lisa แม้จะมีคอมพิวเตอร์จากหลายค่ายพยายามออกแบบ User Interface แบบ Graphic แล้วบ้างก็ตาม แต่ชื่อของพวกเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่า Apple นั่นทำให้หลังจากพวกเขาเปิดตัว Lisa แบรนด์ชั้นนำในตลาดถูกบีบให้ลงมาพัฒนา GUI เพื่อสู้กับ Apple ในตลาดนี้ แต่การผลิต Computer Hi-end ตัวนี้สร้างปัญหาภายในและบาดแผลให้กับ Apple ไว้มากมาย เพราะระหว่างการพัฒนา Apple 

Macintosh ถือว่าเป็นขั้วตรงข้ามของ Lisa เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานทั่วไปเข้าถึงง่าย และเป็นไลน์สินค้าหลักที่แบก Apple ไปนานอีกหลายปี และถ้าจะนับกันจริง iMac หรือ Mac book ในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นเครื่อง Macintosh ด้วย ซึ่งการเข้ามาของ Macintosh นั้นถือว่าเป็นตัวที่ทำให้ Apple ต้องเจอปัญหาหนักเพราะโปรเจคการพัฒนาของ Macintosh นั้นถูกแทรกขึ้นมาระหว่างการพัฒนา Lisa และด้วยความแตกต่างทำให้ทีมพัฒนา Lisa ของ Jobs นั้นได้รับแรงกดดันมากมาย ทั้งการแย่งวันเปิดตัว เงินทุน และอีกมากมาย และแน่นอนมันนำไปถึงการมีปากเสียงกันภายใน แม้ต่อมาตอนท้าย Steve Jobs ก็ถูกย้ายให้เข้ามาทำ Macintosh เหมือนกัน แต่เมื่อหลังการเปิดตัวยอดขายของมันและ Lisa ไม่ถึงเป้า Jobs จึงถูกบีบให้ลาออกจากบริษัทในยุคของเครื่อง Mac รุ่นแรกนี้เอง

หลังจากการลาออกของ Steve Jobs แบรนด์ Apple ก็เริ่มเจอกำแพงเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์บนสินค้าใหม่ ๆ ก็เหมือนกับสงครามในตลาดเทคโนโลยีปัจจุบัน บางครั้งไอเดียใหม่ ๆ ที่กำลังถูกผลักดันออกมาอาจจะถูกใครชิงทำไปก่อน หรือบางครั้งอะไรที่คุณคิดว่าจะขายดี คุณก็อยากให้มันมีในแบรนด์ของตัวเองเพราะกลัวสินค้าตัวเองขายไม่ออก สิ่งนั้นทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่ซ้ำซากและไม่ไปไหน ทำได้แค่แข่งขันกับแบรนด์อื่น ๆ แบบปีต่อปี หรืออัพเกรดสินค้าตัวเองขายเพื่อทำยอดไปเรื่อย ๆ นั่นทำให้ช่วงเวลาที่ไม่มี Steve Jobs ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง CEO ของบริษัทนี้ขึ้นอีก 2 ครั้งแต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่บริษัทจะมีแนวโน้มดีขึ้นเลย

ขณะที่ลาออกไปแล้วนั้น Steve Jobs ไม่ทิ้งลายความเป็นผู้ประกอบการ เปิดกิจการขึ้นเป็นของตัวเองอีกครั้งในชื่อ NeXT บริษัทคอมพิวเตอร์ที่เน้นใช้งานในการศึกษาเป็นหลัก ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแบบล้ำสุดขั้ว (แต่ก็ราคาแพงอย่างมาก) ทำให้จะบอกว่าเจ้า NeXT ไปได้สวยก็อาจจะถูกซักเท่าไหร่ แต่ด้วยความล้ำยุคนี้เองทำให้ Apple ภายใต้การนำของ Gil Amelio ที่ใกล้ล้มละลาย จึงควักเงินก้อนสุดท้ายซื้อ NeXT เพื่อซื้อเทคโนโลยีล้ำยุคนั้นและ Steve Jobs กลับมาทำงานให้ Apple ทำให้เครื่อง iMac เปิดตัวออกมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่กลายเป็นบรรทัดฐานให้กับ PC ในยุคต่อจากนี้ ทั้งเรื่องการใช้งานง่าย การออกแบบสวยงาม เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และราคาที่เข้าถึงได้นั่นเอง

เมื่อประสบความสำเร็จกับเครื่อง iMac แล้ว Apple กลายมาเป็นผู้นำเทรนด์เทคโนโลยีอีกครั้ง และคราวนี้ Steve Jobs นำเสนอวิสัยทัศน์ของเขาออกมาได้อย่างเด็ดขาด iPod ที่วางขายในปี 2001 นั้นอาจจะไม่ใช่ เครื่องเล่นเพลงดิจิตัลเครื่องแรก แต่เป็นเครื่องเล่นเพลงตัวแรกที่มีระบบรองรับการลงเพลงของมันจริง ๆ ในชื่อ iTunes และมีการจับมือกับค่ายเพลงลิขสิทธิ์มากมาย เสิร์ฟความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานถึงมือ เปลี่ยนโลกยุค Cassette และ Disk ให้กลายเป็น Digital นั่นรวมไปถึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการเพลงและพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้ค่ายเพลงบางเจ้าที่ตามไม่ทันต้องปิดตัวลงไป เช่นเดียวกับ iPhone ที่ออกตามกันมาไม่นาน มันไม่ใช่ Smart Phone เครื่องแรก แต่เป็น Smartphone เครื่องแรกที่ยกระดับ Life Style ของผู้ใช้งาน เช่น Application ระบบเปิดที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกดาวน์โหลดฟังก์ชั่นเสริมให้ตัวเองได้โดยง่ายและมีตัวเลือกหลากหลาย พาให้แบรนด์ที่ไม่มีใครคิดว่าจะล้มอย่าง Nokia และแบรนด์ใหม่มาแรงอย่าง Blackberry ล้มแบบไม่เป็นท่า และเปลี่ยนภาพจำของโทรศัพท์มือถือไปตลอดกาล

ก็ต้องพูดตรงนี้เลยครับว่าความพิเศษของ Steve Jobs ก็คือแนวคิดและความกล้าที่จะทำในสิ่งใหม่ ๆ ไม่พลาดโอกาสแม้ว่าจะต้องเดินไปในทางที่เสี่ยง แม้ว่าจะถูกบ้างผิดบ้าง แต่เมื่อคุณกล้าที่จะออกจาก Safe Zone ของตัวเองเสมอ วันหนึ่งโอกาสก็จะมาถึง โดยทั้งไอเดียและสไตล์การทำงานของ Jobs นั้นยังคงการเป็นบรรทัดฐานใน Apple แม้แต่ในยุคของ Tim cook ณ ปัจจุบันนี้นี่เอง เรียกได้ว่า Apple พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าแค่คนคนเดียวก็เปลี่ยนบริษัทได้ โดยหลังการเปิดตัวสินค้านำเทรนด์อย่างต่อเนื่องปัจจุบัน Apple ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าบริษัทสูงที่สุดในโลก แม้ว่าผู้นำอย่าง Steve Jobs จะไม่อยู่แล้วแต่การทำงานและแนวคิดของเขานั้นถือว่าปูทางให้ Apple ไว้อย่างสวยงาม กลายเป็นบริษัทที่กล้าคิดกล้าทำ และสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา