Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

15 พ.ย. 2566

Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

จุดเริ่มต้นของ Bluetooth มาจากแนวคิดของบริษัท Ericsson ต้องการจะพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้งานกับสัญญานวิทยุคลื่นสั้น “Short-Link” เพื่อนำมาใช้งานกับอุปกรณ์อย่าง Handfree Headset เพราะทาง Ericsson กำลังพัฒนาหูฟังแบบไร้สายเพื่อนำมาใช้กับมือถือตัวเอง และเพื่อให้ Bluetooth กลายเป็นหนึ่งในมาตรฐานของอุปกรณ์ไร้สาย ทาง Ericsson จึงได้จับมือกับพันธมิตรอย่าง Nokia , Toshiba , IBM และ Intel โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า “Special Interest Group” ( และมี Microsoft , 3COM ,Lucent , Motorola เข้ามาร่วมในภายหลัง) ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผู้นำด้านอุปกรณ์อิเลคโทรนิคในส่วนต่างๆ โดยทั้งกลุ่มเชื่อว่า Bluetooth จะกลายเป็นมาตรฐานกลางในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายในอนาคต โดยมี Intel เป็นผู้ออกแบบอุปกรณ์ดังกล่าว และถูกใช้ชื่อว่า “Bluetooth” ตามชื่อกษัตริย์ Harold Bluetooth ผู้ที่ทรงรวบรวมอาณาจักรเดนมาร์กให้เป็นหนึ่งเดียว โดยความหมายของ “Bluetooth” หมายถึง ตัวกลางที่จะรวบรวม Protocol ด้านการสื่อสารให้เป็นหนึ่งเดียวนั่นเอง โดยที่ตัว Logo ของ Bluetooth ได้เลือกเอาอักษรรูน 2 ตัวมาผนวกรวมกัน นั่นคือตัว ᚼ (Hagall) และ ᛒ (Bjarkan) และอุปกรณ์ตัวแรกที่ได้ใช้ ฺBluetooth ก็คือ Ericsson T36 นั่นเอง


Bluetooth ความจริงคือคลื่นวิทยุแบบ UHF ในย่านความถี่ ISM ที่มีความถี่อยู่ที่ 2.402-2.480GHz ซึ่งถือเป็นคลื่นความถี่อยู่ในย่านเดียวกับของคลื่น WiFi 2.4GHz แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Bluetooth เป็นคลื่นความถี่พลังงานต่ำ โดยจะใช้พลังงานเพียง 0.1 วัตต์เท่านั้น


การทำงานของ Bluetooth นั้นปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็นคลาสต่างๆ ถึง 4 Class ซึ่งแต่ละคลาสจะแบ่งตามความสามารถในการรับส่งสัญญาน โดยจะแบ่งออกเป็น


  • Class 1 : กำลังส่งอยู่ที่ระดับ 100 มิลลิวัตต์ มีระยะความสามารถในการับส่งที่ 100 เมตร
  • Class 2 : กำลังส่งอยู่ที่ระดับ 2.5 มิลลิวัตต์ มีระยะความสามารถในการับส่งที่  10 เมตร
  • Class 3 : กำลังส่งอยู่ที่ระดับ   1 มิลลิวัตต์ มีระยะความสามารถในการับส่งที่   1 เมตร
  • Class 4 : กำลังส่งอยู่ที่ระดับ 0.5 มิลลิวัตต์ มีระยะความสามารถในการับส่งที่ 0.5 เมตร


จะเห็นได้ว่าระดับ Class ที่สูงไม่ได้แปลว่าความสามารถจะดีกว่า Class ที่ตัวเลขต่ำ ซึ่งตัวเลข Class จะมีระบบบนอุปกรณ์ Bluetooth Device ชนิดต่างๆ ดังนั้นการเลือกซื้ออุปกรณ์ Bluetooth จำเป็นจะต้องดู Class ประกอบด้วยเพื่อให้ตรงกับการใช้งานให้มากที่สุด 

Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

พัฒนาการของ Bluetooth จะมีการระบุเป็น Version ไว้ โดยแต่ละ Version ก็จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละ version จะมีความสามารถดังต่อไปนี้


Bluetooth 1.0 (Max Data Transfer Rate = 732.2 Kbps)


ในเวอร์ชัน 1.0 และ 1.0B นั้น ถือเป็นเวอร์ชันเริ่มแรกสุด ดังนั้นจึงมีปัญหาอยู่เป็นจำนวนมาก โดยหลัก ๆ ก็คือเรื่องของ Compatible ของอุปกรณ์แต่ละตัว ทำให้เวลาใช้หูฟัง Headsetเ ต่างแบรนด์กัน เครื่องจะมองไม่เห็น และยังมีรองรับการทำงานในระดับ Mono ดังนั้นหูฟังแบบ Stereo ไม่สามารถใช้งานได้ และเวอร์ชัน 1.0 และ 1.0B ยังเลือกใช้การสัญญาณแบบ Bluetooth Hardware Device Address (BD_ADDR) ในการการเชื่อมต่อ ซึ่งทำให้การค้นหาอุปกรณ์ล่าช้า และไม่เสถียรเอามากๆ


Bluetooth 1.1 (Max Data Transfer Rate = 732.2 Kbps)


ในเวอร์ชันนี้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเวอร์ชัน 1.0B โดยเฉพาะ และเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง Channel แบบไม่ต้องเข้ารหัส พร้อมทั้งมีการเพิ่มตัวบอกระดับความแรงของสัญญาณที่ได้รับ (RSSI หรือ Received Signal Strength Indicator) อีกด้วย


Bluetooth 1.2 (Max Data Transfer Rate = 1 Mbps)


เป็น Version ทื่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับพลิกโฉมหน้าเลยทีเดียว ส่วนหลัก ๆ ในเวอร์ชันนี้ที่เพิ่มขึ้นมาได้แก่


  • การเพิ่มความสามารถในการค้นหาอุปกรณ์และการเชื่อมต่อให้เร็วยิ่งขึ้น
  • เพิ่มความสามารถในการป้องกันการแทรกเข้ามาของคลื่นวิทยุ โดยใช้เทคนิคในการหลีกเลี่ยงคลื่นความถี่ที่มีการใช้งานพร้อมกันเป็นจำนวนมากในลำดับที่กระโดดไปไม่เรียงต่อกัน ซึ่งตัวฟีเจอร์ดังกล่าวถูกเรียกว่า Adaptive Frequency-Hopping Spread Spectrum (AFH)
  • มีความเร็วในการรับส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1Mbps 
  • เพิ่มฟีเจอร์ Extended Synchronous Connections (eSCO) ที่ทำให้คุณภาพเสียงดีขึ้นและเป็น
  • เพิ่มระบบปฏิบัติการ Host Controller Interface (HCI) แบบ 3 สาย (UART)
  • รองรับ Backward Compatible ดังนั้นอุปกรณ์ที่เป็น bluetooth version ก่อนๆจะสามารถนำมาใช้ร่วมกับ Bluetooth version นี้ได้
Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

Bluetooth 2.0 + EDR (Max Data Transfer Rate = 3 Mbps / Normal = 1 Mbps)


จุดหลัก ๆ ของการปลี่ยนแปลงในเวอร์ชันนี้คือการเข้ามาเสริมของ Enhanced Data Rate (EDR) ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วมากขึ้น โดยจะเพิ่ม Bitrate จากเดิมที่ 1 Mbps มาอยู่ที่ระดับสูงถึง 3Mbps เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวข้ามจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการที่มี Bandwidth สูงมากขึ้นก็ช่วยแก้ปัญหาอาการ Lag ในเวลาใช้งานได้ดียิ่งขึ้น และเป็นครั้งแรกที่ Bluetooth รองรับหูฟังในแบบ Stereo


ในส่วนของ Bluetooth 2.0 ที่มีคำว่า “+ EDR” ต่อท้ายนั่นหมายความว่า EDR มีฟิวเจอร์เสริมขึ้นมาจาก version ปรกติ เพราะตัวเวอร์ชั่นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงจาก version ปรกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งถ้าหากอุปกรณ์ไหนไม่มีเทคโนโลยี EDR เข้ามาใช้ อุปกรณ์นั้นจะมีการระบุเอาไว้เลยว่า Bluetooth v2.0 without EDR



Bluetooth 2.1 + EDR (Max Data Transfer Rate = 3 Mbps / Normal = 1 Mbps)


Bluetooth 2.1 + EDR คือบลูทูธที่ได้รับการดัดแปลงโดย Bluetooth SIG ในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) ฟีเจอร์หลักที่ถูกเสริมเข้ามาคือ SSP ที่ย่อมาจาก Secure Simple Pairing (การจับคู่แบบปลอดภัย) ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การจับคู่ที่ดีขึ้นระหว่างอุปกรณ์บลูทูธด้วยกันในขณะที่เพิ่มระดับความแข็งแรงในการรักษาความปลอดภัยของการเชื่อมต่อด้วย


ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ก็เช่น การเพิ่ม EIR (Extended Inquiry Response) หรือการขยายการตอบสนองการร้องขอ ที่ทำให้อุปกรณ์ได้รับข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นเพิ่มขึ้นในกระบวนการร้องขอการเชื่อมต่อ ช่วยให้สามารถคัดกรองอุปกรณ์ก่อนการเชื่อมต่อได้ และเพิ่มระบบ Sniff Subrating ที่ช่วยลดการใช้พลังงานระหว่างการเปิดโหมดประหยัดพลังงานด้วย


Bluetooth 3.0 + HS (Max Data Transfer Rate = 24 Mbps / Normal = 1 Mbps)


จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือความสามารถ AMP (Alternative MAC / PHY) ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงโดยอาศัยสัญญาน Wi-Fi เข้ามาเสริม โดยเฉพาะการที่มี “+ HS” ต่อท้าย นั่นแปลว่า จะรองรับการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงได้ แต่ถ้าอุปกรณ์ไหนไม่มี ก็ไม่ได้แปลว่าอุปกรณ์นั้นจะสามารถส่งข้อมูลได้ช้าลง เพียงแค่มันสามารถรับ - ส่งได้ด้วยความเร็วตามมาตรฐานของเวอร์ชัน 3.0 ก็เท่านั้น ซึ่งก็ถูกจำกัดอยู่ที่ 1Mbps เท่านั้น


Alternative MAC / PHY หมายถึง การที่เพิ่มความสามารถในการใช้ MAC และ PHYs เข้ามาช่วยในเรื่องของการส่งข้อมูล โดยตัวสัญญานหลักของ Bluetooth จะถูกใช้ในการค้นหาอุปกรณ์ใหม่, การเชื่อมต่อ, และการตั้งค่าโปรไฟล์ แต่เมื่อใดก็ตามที่จะต้องมีการส่งข้อมูลที่มีจำนวนสูง ก็จะตัดสลับไปใช้การส่งสัญญานผ่าน Wi-Fi เข้าเสริม เพื่อส่งข้อมูลให้เร็วยิ่งขึ้น

Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

Bluetooth 4.0 (Max Data Transfer Rate = 24 Mbps / Normal = 1 Mbps)


ในเวอร์ชันนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเวอร์ชันก่อนอย่างมาก สิ่งที่ถูกรวมอยู่ในเวอร์ชันนี้ได้แก่ 3 Protocol หลักอันได้แก่ Classic Bluetooth , Bluetooth High Speed , และ Bluetooth Low Energy (BLE) โดย Bluetooth high speed หรือบลูทูธความเร็วสูงนั้น มีพื้นฐานมาจาก Wi-Fi นั่นเอง, ซึ่งตัว Classic Bluetooth นั้นจะเป็นส่วนของโปรโตคอลบลูทูธในรุ่นแรกๆ 


Bluetooth Low Energy หรือบลูทูธพลังงานต่ำ ซึ่งก่อนหน้าในจะชื่อว่า “Wibree” โดยเป็นผลงานการค้นคว้าของบริษัท Nokia โดยที่ทาง Nokia นั้นตั้งใจจะให้ “Wibree” เข้ารวมเป็นมาตรฐานเดียวกันกับ Bluetooth โดยจะเป็นการเน้นไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่ต้องการการส่งสัญญานแบบพลังงานต่ำเช่น คีย์บอร์ดไร้สาย , เม้าส์ไร้สาย และ นาฬิกาแบบ Smart Watch เป็นต้น และในที่สุด “Wibree” ก็ได้ร่วมเป็นมาตรฐานเดียวกัน และเปลี่ยนมาใช้ชื่อเป็น Bluetooth Low Energy หรือ BLE นั่นเอง แต่ในภายหลังก็ได้เปลี่ยนเป็น “Bluetooth Smart Ready” แทน


นอกจากนั้นยังเพิ่มในส่วนของการเข้ารหัสในระดับ 128-bit เข้ามาเพื่อป้องกันการ hack ข้อมูลผ่านตัว bluetooth อีกด้วย เรียกว่าเป็น Bluetooth ที่มีความปลอดภัยสูงอย่างมาก และเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่ม Codec ในการฟังเพลงคุณภาพสูงอย่าง aptX เข้ามาเสริมอีกด้วย


Bluetooth 4.1 (Max Data Transfer Rate = 25 Mbps / Normal = 1 Mbps)


หลักๆแล้ว เวอร์ชั่นนี้จะเป็นการอัปเดตเวอร์ชั่นก่อนในระดับนึง โดยที่มีการเพิ่มฟีเจอร์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยที่จุดสำคัญคือการใช้งานร่วมกับ “LTE” ของสัญญาน 4G ตัวมือถือเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับส่งข้อมูลจำนวนในจำนวนที่สูงมากขึ้น ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาในเวอร์ชันนี้ก็เช่น


  • รักษาระดับการเชื่อมต่อให้มีการแทรกแซงของสัญญานที่น้อยลง
  • แลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย L2CAP
  • ร่นเวลาในการค้นหาอุปกรณ์ใหม่ ๆ


Bluetooth 4.2 (Max Data Transfer Rate = 25 Mbps/ Normal = 1 Mbps)


ในเวอร์ชั่นนี้ถูกปรับปรุงเป็นพิเศษเพื่อรองรับการทำงานในแบบ Internet of Things (IoT) ที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมอย่างมาก โดยสิ่งที่ได้รับการพัฒนาหลัก ๆ ก็คือ


  • เพิ่มระยะการส่งสัญญานไกลสุดถึง 50 เมตรภายนอกอาคาร และระดับ 10 เมตรภายในอาคาร
  • รักษาความเป็นส่วนตัวของชั้นข้อมูลด้วยข้อกำหนดในการคัดกรองเพิ่มเติม
  • Internet Protocol Support Profile (IPSP) เวอร์ชัน 6 พร้อมใช้งานสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน สำหรับการทำระบบ Smart Home
Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

Bluetooth 5 (Max Data Transfer Rate = 50 Mbps / Normal = 2 Mbps)


Bluetooth 5 เป็น Bluetooth ที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อใช้งานกับระบบไร้สายแห่งอนาคต ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของเวอร์ชันนี้ จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยีของ IoT เป็นหลัก โดยมี Sony เป็นเจ้าแรกที่ประกาศรองรับ Bluetooth 5 ด้วย Xperia XZ Premium เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ในระหว่างงาน Mobile World Congress 2017


หลังจากนั้นในเดือนเมษายน ทาง Samsung ก็ได้เปิดตัว Galaxy S8 ซึ่งเป็นมือถือรุ่นแรกของทาง Samsung ที่รองรับ Bluetooth 5 และในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ทาง Apple ก็ได้ประกาศการรองรับ Bluetooth 5 ใน iPhone 8, 8 Plus, และ iPhone X ที่สำคัญ Apple ยังเปิดตัว “HomePod” ลำโพงอัจฉริยะที่เชื่อมต่อการสั่งการกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในบ้าน ซึ่งก็รองรับ Bluetooth 5 ด้วยเช่นเดียวกัน


และการปรับปรุงที่สำคัญของ Bluetooth version นี้คือการเพิ่มความสามารถในการส่งสัญญานให้มีระยะที่ไกลมากขึ้น โดยที่ระยะการส่งสัญญาของ version 5.0 จะไปได้ไกลสุดถึง 200 เมตร ภายนอกอาคาร ส่วนภายในอาคารนั้นจะได้ไกลสุดถึง 50 เมตรเลยทีเดียว แต่ใช้พลังงานต่ำกว่า version ก่อนๆ และยังมี Bandwidth ในการรับส่งข้อมูลที่สูงกว่าอีกด้วย 


Bluetooth 5.1 (Max Data Transfer Rate = 50 Mbps / Normal = 2 Mbps)


ในเวอร์ชั่นนี้ได้มีการปรับปรุงเพิ่มจาก version แรกขึ้นมาพอสมควร โดยส่วนหลักๆที่ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพก็คือ


  • Angle of Arrival (AoA) และ Angle of Departure (AoD) ที่เป็นเทคโนโลยีในการบอกที่ตั้งตำแหน่งของอุปกรณ์บลูทูธ และสามารถใช้ในการติดตามเวลาสูญหายได้
  • แก้ปัญหาการเชื่อมต่อของ bluetooth ให้ดียิ่งขึ้นในกรณีอยู่ในจุดที่มีสัญญาณบลูทูธเป็นหนาแน่น
  • การเก็บข้อมูลแคชของอุปกรณ์ BLE ต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า GATT Caching (GATT ย่อมาจาก Generic Attribute Profile)
  • การอัปเดตเพิ่มประสิทธิภาพเล็กน้อยให้กับการรับส่งข้อมูล และการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย


Bluetooth 5.2 (Max Data Transfer Rate = 50 Mbps / Normal = 2 Mbps)


ในส่วนของ Bluetooth 5.2 ได้มีการพัฒนาปรับปรุงจาก version ก่อนๆ ในเรื่องของความเสถียรและความสามารถในการรองรับการเชื่อมต่อหูฟังมากกว่า 1 จุด ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อรองรับหูฟังแบบ True Wireless โดยเฉพาะ โดยมีฟีเจอร์ใหม่ประกอบไปด้วย


  • เพิ่ม LE Audio เข้ามา ซึ่งตัว LE Audio นั่นจะสามารถทำงานบน BLE ซึ่งเป็นตัวส่งสัญญานแบบพลังงานต่ำ โดยที่ตัว LE Auddio จะทำให้สามารถเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับตัวอุปกรณ์มากกว่า 1 ชุดหรือทำการเชื่อมต่อหูฟังหลายๆชิ้นเข้ากับอุปกรณ์ส่งสัญญานจุดเดียว ทำให้สามารถฟังเพลงพร้อมๆกันโดยใช้หูฟังมากกว่า 1 ตัวได้ 
  • เพิ่มประสิทธิภาพให้กับข้อมูลของอุปกรณ์ BLE ต่าง ๆ (Enhanced Attribute Protocol = EATT) ทำให้เชื่อมต่อได้เร็วขึ้น และลดการใช้พลังงานลง
  • LE Power Control : ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบความแรงของสัญญาณที่เชื่อมต่ออยู่ได้ และทำให้อุปกรณ์สามารถปรับระดับความแรงและคุณภาพที่ใช้ในการสื่อสารกันได้อย่างเหมาะสม
  • LE Lsochronous Channels : ทำให้หูฟังในแต่ละข้างสามารถรับสัญญาณได้เองโดยตรง จากปรกติที่ต้องรอการสั่งสัญญานจากหูฟังอีกข้าง ทำให้ลดปัญหาการดีเลย์ของเสียงลงได้อย่างมาก
Audio101: วิวัฒนาการของ Bluetooth ในแต่ละ Version

Bluetooth 5.3 (Max Data Transfer Rate = 50 Mbps / Normal = 2 Mbps)


ถือเป็น Version ล่าสุดที่เพิ่งประกาศเปิดตัวไปเมื่อปี 2021 โดยจะมีการพัฒนาปรับปรุงจาก version 5.2 ขึ้นมาเล็กน้อย โดยหลักๆของการเปลี่ยนแปลงก็จะมี


  • การเพิ่มความเสถียรในการรับส่งสัญญาน และยังเพิ่มความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น
  • ยกเลิกการรองรับ AMP (Alternative MAC / PHY) แล้วเปลี่ยนมาใช้มาตรฐาน bluetooth layer ของตัวเองแทน แต่ใน version 5.2 ยังคงรองรับเหมือนเดิม
  • ลดอัตราหน่วงของสัญญาน ทำให้เสียงมีความใกล้เคียงกับการฟังผ่านสายมากขึ้น


Bluetooth 5.4 (Max Data Transfer Rate = 50 Mbps / Normal = 2 Mbps)


Bluetooth version ล่าสุดที่น่าจะเป็น version สุดท้ายก่อนจะก้าวไปเป็น bluetooth version 6.0 แน่นอนว่า version นี้ค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการ upgrade ความสามารถในการใช้งานให้ดีขึ้นมากกว่า โดยจุดที่เพิ่มจะมีดังนี้


  • รองรับ Periodic advertising enhancement ซึ่งจะช่วยเผยตำแหน่งของอุปกรณ์เราให้อุปกรณ์ bluetooth ตัวอื่นได้เห็นหรือค้นหาเราเจอ ซึ่งเป้าหมายหลักๆก็เพื่อในไปใช้งานร่วมกับ ESL หรือ Electronic Shelf Label หรือชื่อไทยๆว่า ป้ายสินค้าแบบอิเลคโทรนิคส์นั่นเอง โดยตัว EFL จะส่งข้อมูลของสินค้าจากป้าย label ไปยังมือถือหรือ smart device ที่อยู่ในระยะ และจะบอกรายละเอียดทั้งหมดของตัวสินค้า ทั้งราคา น้ำหนัก วันหมดอายุ รวมไปถึงรูปตัวสินค้าโดยที่ลงไปต้องไปก้มดูรายละเอียดเอง และยังสามารถ update ราคาให้ตรงกับความเป็นจริง ตัดปัญหาราคาป้ายกับราคาตอนคิดเงินเป็นคนละราคากัน
  • รองรับ Channel selection algorithm ซึ่งจะเป็นการช่วยเลือกช่องสัญญานที่มีความหนาแน่นน้อย และเสถียรที่สุดเพื่อให้สามารถใช้งาน bluetooth ได้เต็มประสิทธิภาพ ตัดปัญหาเรื่องจับสัญญาน bluetooth ไม่ได้ หรือสัญญานกระตุก
  • เพิ่ม Link loss mitigation ช่วยให้สัญญาน bluetooth เสถียรและไม่หลุด แม้จะโดนคลื่นอื่นๆรบกวนก็ตาม โดยเฉพาะเวลาไปที่ที่มีสัญญาน Wifi หนาแน่น
best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2