มินิรีวิว Marshall Stanmore III
15 มิ.ย. 2565
ลำโพงบ้านระดับตำนาน อัปเกรดใหม่พร้อมมิติเสียงที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
หลังจากปล่อยสินค้าประเภทหูฟังในรุ่นอัปเกรด เอาใจเหล่าบรรดาแฟนๆ และสาวก Marshall กันไปหลายซีรีส์แล้ว ครั้งนี้ถึงคราวอัปเกรดสินค้าอีกประเภทที่ได้รับความนิยมสูงมากไม่แพ้กัน กับการอัปเกรดลำโพง Marshall ประเภทลำโพงบ้านไร้สายที่ต้องบอกเลยว่าเป็นสินค้าประเภทที่ได้รับความนิยมสูงมาก ด้วยจุดเด่นในเรื่องรูปร่างหน้าตาการออกแบบที่มีความเรียบหรูผสมผสานระหว่างความคลาสสิคและความทันสมัย การใช้งานที่ง่ายดาย และที่ขาดไปไม่ได้เลยคือเสียงที่กระหึ่มทรงพลังและแนวเสียงที่ฟังสนุกทุกย่านเสียงตามสไตล์ของแบรนด์ Marshall โดยรุ่นที่พึ่งได้รับการเปิดตัวใหม่ที่ทาง mercular.com ได้หยิบยกมารีวิวสั้นๆ กันในครั้งนี้ก็คือ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker ลำโพงบ้านไร้สายในระดับตำนานที่ครั้งนี้มาพร้อมการอัปเกรดในส่วนของสเปกภายในที่จัดเต็มไม่มีกั๊ก เช่นในด้านการเชื่อมต่อ และด้านแนวเสียง เป็นต้น
ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker
ลำโพงบ้านระดับตำนาน อัปเกรดใหม่พร้อมมิติเสียงที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker เป็นลำโพงบ้านไร้สายเชื่อมต่อได้ทั้งไร้สายผ่านสัญญาณ Bluetooth และเชื่อมต่อแบบมีสายผ่าน AUX/3.5 mm. และ RCA Stereo มาพร้อมรูปร่างหน้าตาที่ไม่ต่างจากในรุ่น ลำโพง Marshall Stanmore II Bluetooth Speaker เท่าไหร่นัก แต่ที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือด้านหน้าของตัวลำโพงจะมีการนำแถบสีทองพร้อมตัวอักษร EST. 1962 ออกไป เหลือแต่ตะแกรงลำโพงโล่งๆ ทำให้เมื่อมองเห็นภายนอกแค่ครั้งแรกก็ทราบได้ทันทีว่านี่เป็นลำโพงรุ่นใหม่ หรือ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker นั่นเองครับ และแน่นอนว่ายังมาพร้อม 3 สีให้ได้เลือกจับจองเป็นเจ้าของอยู่เช่นเดิม ประกอบไปด้วย สีดำ, สีครีม และสีน้ำตาล ส่วนภายในนั้นได้รับการอัปเกรดใหม่หมดไม่ว่าจะเป็น เวอร์ชัน Bluetooth แนวเสียงที่ปรับจูนมาให้มี Sound Stage ที่กว้างขึ้น ให้เสียงที่ดังกระหึ่มครอบคลุมทั้งห้องได้มากขึ้น โดยที่ยังมาพร้อมฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้งานที่ครบครันอยู่เช่นเดิม โดย ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker จะมีฟังก์ชันและสเปกอะไรที่เด่นรวมถึงน่าสนใจบ้างนั้น เรามาดูรีวิวสั้นๆ กันเลยครับ
รุ่น | Marshall Stanmore III | Marshall Stanmore II |
Bluetooth Version | 5.2 | 5.0 |
ความถี่เสียงที่รองรับ | 45–20,000 Hz | 50-20,000 Hz |
Maximum Sound Pressure Level | 97 dB @ 1 m | 101 dB @ 1 m |
ปุ่มควบคุมการเล่นเพลง | ข้าม/ย้อนกลับเพลงได้ | ข้าม/ย้อนกลับเพลงไม่ได้ |
ขนาด (มิลลิเมตร) | 350 x 203 x 188 | 350 x 195 x 185 |
น้ำหนัก (กิโลกรัม) | 4.25 | 4.65 |
แอปที่รองรับ | Marshall Bluetooth | Marshall Bluetooth |
จากตารางเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker แตกต่างจากในรุ่น ลำโพง Marshall Stanmore II ไม่ได้มากเท่าไหร่นัก หลักๆ จะเป็นในส่วนของขนาดที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่แม้ขนาดจะใหญ่แต่ด้านน้ำหนักกลับเบากว่าเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth เวอร์ชันที่ใหม่กว่าเดิมเป็น Bluetooth 5.2 และสเปกด้านเสียงที่ทำให้ขับเสียงได้ครบถ้วนทุกย่านความถี่ครบทุกรายละเอียดเสียงมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มเติมฟังก์ชันการใช้งานเล็กๆ น้อยๆ มาในส่วนควบคุมการเล่นเพลงที่จากเดิมนั้นจะใช้สำหรับควบคุมการเล่น/หยุดเพลงเท่านั้นกลับมาครั้งนี้สามารถใช้งานควบคุมการข้ามและย้อนกลับเพลงได้แล้ว นอกจากนี้ในส่วนของตัวเลือกสี ในรุ่นนี้เปลี่ยนจากสีขาวมาเป็นสีครีมที่ภาพรวมมีความหรูหราคลาสสิคเป็นอย่างมาก เชื่อว่าบรรรดาสาวก Marshall ต้องตกหลุมรักได้ง่ายดายอย่างแน่นอนครับ
จุดเด่นของ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker
- ลำโพงบ้านไร้สายรูปทรงสุดคลาสสิค
- ขนาดกำลังดีใช้เนื้อที่ในกำลังการตั้งวางไม่มาก
- น้ำหนักไม่มากจนเกินไป ยกเคลื่อนย้ายได้สะดวก
- ไม่ใช้ลำโพงพกพาเพราะไม่มีแบตเตอรี่ในตัว
- ไม่รองรับการใช้งานรับสายโทรศัพท์เพราะไม่มีไมค์ในตัว
- ระบบเสียง Stereo มิติเสียงซ้าย/ขวาสมจริง
- ควบคุมสะดวกผ่านปุ่มและ Control Knob
- รองรับความถี่เสียงได้กว้างกว่ารุ่นก่อนหน้า
- เชื่อมต่อได้อย่างครบครันทั้งไร้สายและมีสาย
- เชื่อมต่อ Bluetooth รุ่นใหม่ล่าสุด 5.2
- เชื่อมต่อไร้สายไกลถึง 10 เมตรโดยไม่มีอะไรกั้น
- สีครีมใหม่ ให้ความรู้สึกที่หรูหราคลาสสิค
- รองรับการใช้งานกับแอป Marshall Bluetooth
จากจุดเด่นข้างต้นของ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker จะเห็นได้เลยว่า ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker นั้นชูความโดดเด่นในเรื่องของรูปร่างหน้าตาดั้งเดิมที่มีความคลาสสิคจนเหล่าแฟนๆ Marshall ต่างเทใจให้ด้วยการปรับเปลี่ยนหน้าตาเพียงเล็กน้อยหรือไม่ถึง 5% เท่านั้น โดยยังคงคาแรคเตอร์ความเป็นลำโพงหนังทั้งชิ้น ด้านหน้าเป็นตะแกรงเสียงสลักด้วยชื่อแบรนด์ Marshall ตัวใหญ่ ด้านบนเป็นส่วนของช่องเชื่อมต่อ AUX/3.5 mm. ปุ่มสำหรับเปลี่ยนโหมดการเชื่อมต่อ, Control Knob แบบหมุนสำหรับเพิ่ม/ลดเสียง, เพิ่ม/ลดเสียงเบส และ เพิ่ม/ลดเสียงแหลม, ปุ่มสำหรับเล่น/หยุด ข้ามย้อนกลับเพลง และคันโยกสำหรับเปิดปิดลำโพง ส่วนด้านหลังจะเป็นท่อ Woofer, ช่องสำหรับเชื่อมต่อ RCA Stereo และช่องสำหรับเสียงสายไฟครับ นอกจากนี้ในส่วนวัสดุของ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker ยังเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติสูงไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ไม่มีส่วนประกอบของ PVC โดยจะเป็นวัสดุที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลและวัสดุที่ทำจากพืชเท่านั้นครับ
สำหรับรายละเอียดของ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker ตัวลำโพงจะมีขนาดที่กะทัดรัดมากๆ อยู่ที่ 350 x 203 x 188 มิลลิเมตรซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมน้ำหนักที่เบากว่าด้วยเช่นกันโดยน้ำหนักจะอยู่ที่ 4.25 กิโลกรัมเท่านั้นหรือก็คือเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 400 กรัมเลยทีเดียว ด้านการเชื่อมต่อก็ยังครบครันทั้งไร้สายและมีสายเช่นเดิม เพิ่มเติมคือส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth นั้นได้รับการอัพเกรดเป็น Bluetooth 5.2 จากเดิมที่เป็น Bluetooth 5.0 ซึ่งข้อดีคือนอกจากจะเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดแล้ว ยังให้สัญญาณที่มีความเสถียรสูง เชื่อมต่อได้อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยากแม้จะใช้งานเป็นครั้งแรก ระยะการเชื่อมต่อไกลถึง 10 เมตรโดยไม่มีอะไรกั้น รับชมภาพยนตร์ออนไลน์จากแอปดังต่างๆ ทั้ง Netflix YouTube Disney+ hotstar และอื่นๆ ได้อย่างลื่นไหลไม่ดีเลย์ รวมถึงใช้งานเล่นเกมออนไลน์ก็ขับเสียงได้ลื่นไหลไม่ดีเลย์ด้วยเช่นกัน และอีกจุดที่อัพเกรดมาและไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเรื่องของแนวเสียงที่ในรุ่นนี้รองรับคลื่นความถี่เสียงที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ให้มิติเสียงที่กว้าง ลึก สมจริง ทรงพลัง พร้อมระบบเสียงแบบ Stereo เช่นเดิมโดยที่ไม่ต้องมาเชื่อมต่อลำโพงหลายตัวเข้าด้วยกันแบบลำโพงรุ่นอื่นๆ รวมถึงเสียงที่ดังกระหึ่มครอบคลุมทั่วทั้งห้องได้มากยิ่งขึ้น ทำให้เหมาะทั้งจะนำ ลำโพง Marshall Stanmore III Bluetooth Speaker ไปตั้งเพื่อใช้ฟังเพลงหรือดูหนังเป็นหลัก หรือจะนำไปตั้งเพื่อขับบรรเลงเพลงกล่อมหูตลอดวันก็ได้เช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่เสียงที่ยอดเยี่ยมน่าฟังเท่านั้น ด้านรูปร่างหน้าตาก็คลาสสิคน่ามองตามสไตล์ Marshall ด้วยนั่นเอง
และท้ายนี้ สินค้ารุ่นนี้ยังไม่เข้าไทยครับ และมีราคาเปิดตัวกำลังดีอยู่ที่ประมาณ 419$ ซึ่งถ้าหากเข้ามาจัดจำหน่ายที่ไทยเมื่อไหร่ทาง mercular.com จะรีบนำมาจำหน่ายและรีวิวให้รับชมกันอย่างแน่นอนครับ สำหรับครั้งนี้สวัสดีครับ