Netflix รองรับ Spatial Audio สำหรับ iPhone และ iPad

9 ก.ย. 2564

Netflix รองรับ Spatial Audio สำหรับ iPhone และ iPad

Netflix ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ Spatial Audio สำหรับ iPhone และ iPad อย่างเป็นทางการ คุณสมบัตินี้จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์เสียงรอบทิศทางที่สมจริงยิ่งขึ้นเสมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งผู้ใช้ Netflix จำนวนไม่น้อยต่างก็เฝ้ารอฟีเจอร์นี้มานานและวันนี้ก็สมความปรารถนาแล้ว


ทาง Netflix ระบุว่าได้เริ่มทยอยอัพเดต Spatial Audio ให้กับผู้ใช้แล้ว โดยจะทำงานได้กับอุปกรณ์เวอร์ชั่น iOS 14 และ iPad OS 14 ขึ้นไป ผู้ใช้สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ได้จาก Control Center ภายในแอปฯ และสามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ได้ก็ต่อเมื่อใช้หูฟัง AirPods Pro และ AirPods Max เท่านั้น หากหาไม่เจอให้อัพเดตแอปฯ Netflix เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดก่อน เพื่อสัมผัสประสบการณ์การดูหนังที่ใกล้เคียงกับในโรงภาพยนต์มากขึ้น

Spatial Audio

Spatial Audio คืออะไร?

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก Spatial Audio หรือคำจำกัดความในภาษาไทยเรียกว่า “ระบบเสียงตามตำแหน่ง” เป็นระบบเสียงที่คิดค้นขึ้นโดยบริษัท Apple เพื่อมอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางที่สมจริงยิ่งขึ้น ฟีเจอร์นี้เปิดตัวมาพร้อมกับการซัพพอร์ตระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos ในแอปพลิเคชัน Apple Music เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ปัจจุบัน Spatial Audio ยังใช้งานได้เฉพาะกับหูฟัง AirPods Pro และ AirPods Max เท่านั้น 

อุปกรณ์ไหนรองรับ Spatial Audio บ้าง?

ในเมื่อบริษัท Apple เป็นผู้คิดค้น Spatial Audio แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่รองรับก็ต้องเป็น iPhone และ iPad แต่มีข้อแม้ว่าระบบปฏิบัติการของตัวอุปกรณ์ต้องเป็น iOS หรือ iPadOS เวอร์ชั่น 14 ขึ้นไป ขณะที่หูฟังที่รองรับ Spatial Audio ตอนนี้มีเพียงแค่ 2 รุ่น คือ AirPods Pro และ AirPods Max ในส่วนของแอปพลิเคชันที่รองรับ Spatial Audio ตอนนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ

  • Apple Music
  • Apple TV+
  • Netflix, Disney+
  • HBO Max
  • Hulu, PeacockDisco
  • very+
  • Paramount+
  • Vudu
  • เพลงบางเพลงบน Tidal


Spatial Audio ทำงานอย่างไร?

หลักการทำงานของ Spatial Audio คือการประยุกต์เอาระบบเสียงรอบทิศทางที่เรารู้จักอาทิ 5.1 channel, 7.1 channel หรือ Dolby Atmos มาทำงานร่วมกับเซนเซอร์ gyroscope และ accelerometer ที่มากับหูฟัง AirPods Pro และ AirPods Max ในการตรวจจับการหันหรือขยับตำแหน่งศีรษะของผู้ฟัง แปลงสัญญาณเสียงรอบทิศทางมาใส่ฟิลเตอร์ HRTF (Head-Related Transfer Function) หรือเรียกว่าเทคนิค “binaural rendering” ปรับความถี่จำเพาะของเสียงที่ส่งไปยังหูทั้งสองข้าง เพื่อให้รู้สึกเหมือนแหล่งกำเนิดเสียงมาจากระยะและทิศทางที่แตกต่างกันไป 


อธิบายให้เห็นภาพคือหากเรากำลังนั่งดูหนังใน iPad Pro ที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้า ฉากสนทนาปกติเสียงของนักแสดงจะอยู่ตรงกลางด้านหน้าเรา พอหันศีรษะไปทางซ้ายเสียงพูดของนักแสดงในหนังจะเปลี่ยนมาอยู่ที่หูฟังด้านขวา กลับกัน พอหันศีรษะไปทางขวาเสียงพูดของนักแสดงในหนังจะเปลี่ยนมาอยู่ที่หูฟังด้านซ้าย หมายความว่าจุดกำเนิดเสียงคือนักแสดงที่กำลังพูดจะอยู่ตำแหน่งเดิมเสมอ ช่วยเพิ่มมิติความสมจริงให้กับเสียงที่ได้ยินในหูฟัง


อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ WhatHiFi ระบุไว้ว่าแม้ Spatial Audio จะใช้ได้กับแทบทุกแอปฯ ที่รองรับระบบเสียงรอบทิศทางบน iOS แต่การนำ Spatial Audio มาผนวกกับสัญญาณระบบ Dolby Atmos จะให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด


"การนำ Spatial Audio มาผนวกกับสัญญาณ

ระบบ Dolby Atmos จะให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด"

Spatial Audio Airpods Pro

AirPods Pro / AirPods Max สองหูฟังตัวจบสำหรับประสบการณ์ Spatial Audio

สำหรับใครที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ Spatial Audio แบบสมบูรณ์แนะนำว่าต้องมี 1 ในหูฟัง 2 รุ่นนี้คือ Apple AirPods Pro และ AirPods Max 


AirPods Pro

  • เป็นหูฟัง True Wireless แบบ In-Ear
  • ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย พกพาสะดวก
  • มาพร้อมชิปเซ็ต Apple H1
  • ไดรเวอร์ High-excursion ให้คุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว
  • มีเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟและโหมดฟังเสียงภายนอก
  • รองรับการควบคุมแบบสัมผัส การสั่งการด้วยเสียง Siri
  • ฟังได้นานสูงสุด 4.5 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
  • ใส่หูฟังในเคส 5 นาทีก็ใช้ฟังได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง (Fast Charge)


AirPods Max

  • เป็นหูฟังแบบ Wireless Headphone ระดับพรีเมียม
  • ดีไซน์สวยงามหรูหรา สวมใส่สบาย
  • ฟังก์ชันการตัดเสียงรบกวนที่ยอดเยี่ยมเป็นระดับต้นๆ ของวงการ
  • ฟังก์ชัน Transparency รับเสียงภายนอกที่คมชัดในระดับที่ใกล้เคียงกับไม่ได้สวมใส่หูฟังอยู่
  • เชื่อมต่อเสถียรและรวดเร็วด้วยชิพ Apple H1 ถึง 2 ตัว
  • ให้คุณภาพเสียงระดับสุดยอดด้วยไดรเวอร์ Dynamic ที่ออกแบบโดย Apple เอง พร้อม EQ แบบปรับได้เอง
  • ควบคุมหูฟังได้ง่ายและสะดวกผ่าน Digital Crown แบบเดียวกับ Apple Watch
  • มาพร้อมแบตเตอรี่ภายในตัวที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 20 ชั่วโมง
  • และยังมีฟังก์ชันชาร์จเร็วเพียง 5 นาทีก็สามารถใช้งานได้นานถึง 1.5 ชั่วโมง


ทางเลือกการฟังที่ใกล้เคียงกับระบบ Spatial Audio

Spatial Audio เป็นระบบเสียงแบบใหม่ที่เอาเข้าจริงแล้วตอนนี้น่าจะยังไม่มีคู่แข่งโดยตรงในวงการ ถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์ Spatial Audio แต่ไม่มีหูฟังหรือสมาร์ทโฟนของ Apple ระบบเสียงอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันก็คือ Dolby Atmos และ DTS:X


ทั้ง 2 ระบบเป็นระบบจำลองเสียงรอบทิศทาง 360 องศา ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงและเพิ่มอรรถรสในการฟังเพลง การดูหนัง และการเล่นเกมได้ ซึ่งในแง่คุณภาพก็ถือว่าดีไม่แพ้กัน ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันดูหนังและ Music Streaming มากมายที่รองรับ Dolby Atmos อาทิ

  • Netflix
  • HBO Max
  • Disney + Hotstar
  • Tidal
  • Spotify


ส่วน DTS:X นั้น ส่วนใหญ่จะมีอยู่ในภาพยนตร์และเกมมากกว่า ทั้งนี้การจะใช้งานทั้ง 2 ระบบดังกล่าวอย่างสมบูรณ์เราจำเป็นต้องมีทั้งอุปกรณ์และสื่อที่รองรับ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็อาจได้ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร


"การจำลองเสียงรอบทิศทาง 360 องศา"

ช่วยเพิ่มอรรถรสในการฟังเพลง การดูหนัง และการเล่นเกมได้

Spatial Audio and DTS:X

แนะนำชุดลำโพงที่ให้การฟังได้ใกล้เคียงระบบ Spatial Audio

บนเว็บไซต์ Mercular.com ของเรามีลำโพงมากมายหลายรุ่นที่รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X สิ่งสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับระบบเสียงรอบทิศทางทั้ง 2 แบบ คือจำนวนแชนแนลลำโพงที่ต้องมีอย่างน้อย 5.1 แชนแนล หรือจะให้ดีก็ต้องเป็น 7.1 แชนแนลไปเลย ซึ่งเราขอแนะนำเป็นดังนี้

Bose Lifestyle 600 Home Entertainment Speaker

Spatial Audio Home Theater Speaker recommended
  • ชุดลำโพงโฮมเธียร์เตอร์ 5.1 แชนแนล
  • ดีไซน์หรูหราทันสมัย
  • ดอกลำโพง JewelCube จำนวน 4 ตัว
  • ลำโพงเซ็นเตอร์ 1 ตัว และซับวูฟเฟอร์
  • ใช้สายปกติหรือต่อแบบไร้สายก็ได้
  • ให้คุณภาพเสียงดีเยี่ยมรอบทิศทาง
  • ครบครันทั้ง Bluetooth,Wi-Fi,NFC
  • รองรับ Dolby Atmos และ DTS:X
  • มีให้เลือก 2 สีคือดำและขาว

Onkyo HT-S7805

Spatial Audio Home Theater Speaker recommended
  • ชุดลำโพงโฮมเธียร์เตอร์
  • ดีไซน์สวยงามดูดี
  • AV Receiver 5.1.2 แชนแนล 175 วัตต์
  • สตรีมเพลงแบบไร้สายได้
  • ระบบลำโพงคุณภาพสูง ติดตั้งได้รวดเร็ว
  • รูปแบบการจัดตำแหน่งตามวัตถุ AccuReflex
  • เสียงชัดเจนหลายมิติ
  • รองรับ Dolby Atmos และ DTS:X

Klipsch Home Theater Dolby Atmos 5.1.2 Set C

Spatial Audio Home Theater Speaker recommended
  • ชุดลำโพงโฮมเธียร์เตอร์ 5.1.2 แชนแนล
  • ดีไซน์สวยหรู งานประกอบเนี๊ยบ
  • คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมสมราคา
  • ลำโพงตั้งพื้น R-820F 1 ตัว
  • ลำโพงเซนเตอร์ R-34C 1 ตัว
  • ลำโพง bookshelf R-51M 1 คู่ 
  • ลำโพงเซอร์ราวด์ R-41SA 1 คู่
  • ซับวูฟเฟอร์ R-120SW 1 ตัว
  • รองรับ Dolby Atmos เต็มรูปแบบ
  • ให้มิติเสียงกว้าง สดใส สมจริง
Spatial Audio settings

แม้ว่าปัจจุบัน Spatial Audio จะใช้งานได้เฉพาะกับหูฟัง Apple ที่มี gyroscope และ accelerometer อย่าง AirPods Pro และ AirPods Max คู่กับอุปกรณ์ iOS และ iPadOS เวอร์ชั่น 14 ชึ้นไปเท่านั้น


แต่เชื่อได้เลยว่าในอนาคตอันใกล้ ฟีเจอร์นี้จะขยายไปอยู่ในหูฟังรุ่นใหม่ๆ ของ Apple มากขึ้น รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ อย่าง Macbook, iMac และ Apple TV 4K ก็น่าจะรองรับฟีเจอร์นี้อย่างแน่นอนใน OS เวอร์ชั่นถัดไป เช่นเดียวกับแอปพลิเคชันดังๆ อีกหลายตัว ที่จะเริ่มทยอยรองรับฟีเจอร์นี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ


ในอนาคต Spatial Audio อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การฟังที่สมจริง ยิ่งกว่าระบบเสียงรอบทิศทางเดิมๆ ที่มีในปัจจุบัน และจะเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญของ Apple

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2