21 ส.ค. 2563
เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะกำลังรอคอย หูฟังไร้สาย Sony WH-1000XM4 Wireless Headphone หรือหูฟังตัดเสียงรบกวนไร้สายที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำของวงการตัวนี้กันอยู่แน่นอน กลับมาครั้งนี้แน่นอนว่ามาพร้อมฟังก์ชั่นล้ำๆ ที่ใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม ส่วนของการตัดเสียงรบกวนที่ได้รับการอัพเกรดให้ออกมาดียิ่งขึ้น แนวเสียงที่ในรุ่นที่แล้วก็ดีมากๆ อยู่แล้ว มาในรุ่นนี้ก็ปรับจูนให้ดีและฟังสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยและล้ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม กับราคาเปิดตัวเท่ากับรุ่นที่แล้วเพียง 13,900 บาทเท่านั้นครับ โดยรุ่นที่เราจะมารีวิวกันวันนี้เป็นรุ่นสีเงิน Silver ที่ต้องบอกเลยว่าดูหรูหรา น่าเป็นเจ้าของแบบสุดๆ งานนี้จะมีรายละเอียดยังไง มีฟังก์ชั่นใหม่ๆ อะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลยครับ
ภาพรวม
เริ่มต้นกันเรามาดูที่กล่องกันก่อนเลยครับ
ตัวกล่องจะไม่ต่างจากในรุ่น WH-1000XM3 เท่าไหร่นัก มาพร้อมพื้นผิวสีขาว สกรีนรูปหูฟังเด่น สกรีนสัญลักษณ์ของฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึงชื่อรุ่นเห็นได้ชัดเจนครับ
ด้านในกล่องมีอุปกรณ์ประกอบไปด้วย ตัวหูฟัง พับเก็บอยู่ภายในเคสแข็ง, สาย AUX/3.5 mm., อแดปเตอร์สำหรับใช้งานบนเครื่องบิน, สาย USB-A to USB-C และคู่มือการใช้งาน
Sony WH-1000XM4 เป็น หูฟังครอบหูไร้สายแบบ Full Size มาพร้อมรูปร่างหน้าที่ดูเรียบหรูแบบเดียวกับในรุ่น Sony WH-1000XM3
การสวมใส่ยังคงทำได้ดี ใส่สบายหู ตัวก้าน Headband มีความแข็งแรงทนทานต่อการบิดงอ
สามารถปรับระดับขึ้นลงได้ถึง 9 ระดับ ตอบโจทย์ทั้งคนศีรษะใหญ่และเล็ก ใส่ฟังเพลงได้นานตลอดวันโดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือรำคาญ
ตัววัสดุเลือกใช้ระดับพรีเมียมด้วย “โฟมยูรีเทนสัมผัสนุ่ม” จุดเด่นคือสามารถซึมซับแรงบีบและกดทับได้เป็นอย่างดี อยู่ที่บริเวณ Earcup ทั้ง 2 ข้างและด้านบนของ Headband
ส่วนของน้ำหนักก็เบามากๆ เพียง 254 กรัมเท่านั้น จัดว่าเบามากๆ ใส่ได้สบายตลอดวัน
มุมมองโดยรวมถ้ามองผ่านๆ จะรู้สึกว่าเหมือนกับ 1000XM3 แบบฝาแฝด แต่หากสังเกตก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่พอสมควรดังนี้
- วัสดุ M4 จะมีผิวสัมผัสแบบด้านผิวทราย / M3 จะผิวสัมผัสเรียบเนียน
- ปุ่มกดบนตัวจะเปลี่ยนเป็นผิวด้านทั้งหมด จากเดิมที่เป็นแบบ Grossy
- สัญลักษณ์ NFC จะสลักลงไปในตัวหูฟัง
- ชื่อปุ่มเปลี่ยนไป NC/AMBIENT เปลี่ยนเป็น CUSTOM
- ไม่มีคำว่า INPUT ที่ช่อง AUX/3.5 mm. แล้ว
ควบคุมด้วยการสัมผัส Gesture แบบเดียวกับรุ่นที่แล้ว
ส่วนของปุ่มกดจะอยู่ที่ด้านล่างของ Earcup ข้างซ้าย คือปุ่ม Power และ ปุ่ม Custom สำหรับเปิด/ปิดระบบตัดเสียงและ Ambient Mode
Quick Attention ลดเสียงเพลงลงและรับเสียงพูดจากรอบข้างเข้ามา สำหรับสนทนาโดยไม่ต้องถอดตัวหูฟังออกก็ยังมีอยู่เช่นเคย
การเชื่อมต่อ ในครั้งนี้ Sony ก็ได้อัพเกรด Bluetooth จากเวอร์ชั่น 4.2 เป็น 5.0 รองรับ NFC เช่นเดิม และได้มีการตัดทอนส่วนของ Codec ไร้สาย จากที่ในรุ่นที่แล้วรองรับ aptX และ aptX HD มาคราวนี้ถูกตัดออกเหลือเพียง SBC, AAC และ LDAC สำหรับส่งสัญญาณเสียง Hi-Res แบบไร้สายที่เป็นเทคโนโลยีจาก Sony เท่านั้น
นอกจาก Bluetooth แล้วก็ยังสามารถเชื่อมต่อผ่าน AUX/3.5 mm. ได้ผ่านช่องและสายที่ให้มาด้วย ซึ่งการใช้งานผ่านสาย AUX/3.5 mm. ก็ยังใช้งานร่วมกับระบบตัดเสียงรบกวนได้ด้วยเช่นกัน
การใช้งาน
Sony WH-1000XM4 ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่ต้องบอกเลยว่าล้ำกว่ารุ่น M3 ไปอีกหลายขั้นดังนี้
การตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling ที่ถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ Sony ยังคงใช้ Chipset ตัดเสียงตัวท๊อปในรุ่น QN1 HD Noise-Canceling Processor เช่นเดิม ทำงานร่วมกับไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนข้างละ 2 ตัว ภาพรวมคือสามารถตัดเสียงได้เงียบสนิท ตัดเสียงย่านสูงได้มากขึ้น รวมถึงประมวลผลเสียงย่านต่ำได้ดีขึ้น ขอบเขตการตัดเสียงกว้างขึ้นกว่ารุ่นที่แล้วแบบเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือให้ความรู้สึกหูอื้อน้อยลงมากๆ จนครั้งนี้แม้แต่คนสัมผัสไวก็แทบไม่รู้สึก
สามารถปรับระดับการตัดเสียงได้ 3 ระดับหากกดปุ่มที่ตัวหูฟัง แบ่งออกเป็น
- Noise Cancelling / ตัดเสียงรบกวนจากภายนอก
- Ambient Sound / รับเสียงจากภายนอกเข้ามา
- Off / ปิดระบบการตัดเสียง
ภายในมีการใส่ Proximity sensor และ Acceleration sensors อีก 2 ตัวสำหรับตรวจจับการสวมใส่โดยตัวหูฟังจะหยุดเล่นเพลงโดยอัตโนมัติเมื่อถอด และเล่นเพลงโดยอัตโนมัติเมื่อใส่
Speak to Chat อีกขั้นของ Quick Attention กับฟังก์ชั่น Speak to Chat โดยตัวหูฟังจะใช้ไมโครโฟนทั้ง 5 ตัวในการตรวจจับเสียงพูด เพียงแค่พูดออกมาเพลงจะหยุดเล่นและเข้าสู่โหมด Ambient Sound โดยอัตโนมัติเป็นเวลาสั้นๆ (Default 30 วินาที แต่ตั้งค่าเป็น 15 วิฯ และอื่นๆ ได้ในแอป) เหมาะสำหรับคนที่มือไม่ว่างเปิดโหมด Quick Attention นั่นเอง
ในรุ่นนี้ทาง Sony บอกว่าได้ปรับปรุงในส่วนของไมโครโฟนให้รับเสียงได้คมชัดมากขึ้นกว่าเดิม รับเสียงได้ชัดมากยิ่งขึ้น ตัดเสียงแทรกภายนอกได้ดียิ่งขึ้น
รองรับการเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์ในเวลาเดียวกันเป็นที่เรียบร้อย สามารถกดควบคุมเพลงจากอุปกรณ์ใดก็ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไปมาแบบในรุ่นที่แล้ว
และสุดท้ายคือเรื่องของแบตเตอรี่ ในรุ่นนี้ใช้งานได้นานสุงสุด 30 ชั่วโมง และยังรองรับฟังก์ชั่นชาร์จไวเพียง 10 นาทีใช้งานได้ถึง 5 ชั่วโมงอีกด้วย และแม้แบตเตอรี่จะหมดก็ยังสามารถเชื่อมสาย AUX/3.5 mm. ใช้งานต่อได้ไม่มีปัญหา
Application
App Sony | Headphones Connect ในส่วนของ App เรียกได้ว่าเป็นประตูสู่การปลดล็อคการตั้งค่าอีกมากมาย ขาดไปไม่ได้จริงๆ โดยภายในแอปจะมีฟังก์ชั่นต่างๆ ดังนี้
แท็ป Status
1. บอกชื่อรุ่นหูฟังที่กำลังเชื่อมต่อ
2. ปุ่ม Power ปิดหูฟังได้จากแอป (ในรุ่น M3 ไม่มี)
2.1 ปุ่ม … สำหรับดูคู่มือออนไลน์, เช็คและอัพเดทเวอร์ชั่นหูฟัง, แจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ จากทางแอป, แบ็คอัพการตั้งค่าต่างๆ ในกรณีเปลี่ยนเครื่อง, เข้าโปรแกรมเล่นเพลงของ Sony ต้องโหลตเพิ่ม, ดูรุ่นของแอป และสุดท้ายคือช่วยเหลือ
3. Codec ที่ใช้งานอยู่ และกำลังเปิดฟังก์ชั่นปรับปรุงเสียง DSEE Extreme อยู่หรือไม่
4. จำนวนแบตเตอรี่คงเหลือ
5. ตั้งค่าระบบปรับเสียงรบกวนอัตโนมัติ Adaptive Sound Control
6. ควบคุมการเล่นเพลง
แท็ป Sound
1. เปิด/ปิด การตัดเสียงรบกวนและเลือกระดับการตัดเสียงสูงถึง 20 ระดับ
2. ตั้งค่าระยะเวลาในการหยุดเพลงของ Speak to Chat
3. ปรับการตัดเสียงรบกวนให้เข้ากับการสวมใส่ และระดับความกดอากาศ (ใช้เมื่อเปลี่ยนสไตล์การสวมใส่ ผมยาว หรือใช้งานบนความสูงที่แตกต่างกัน)
4. ปรับ EQ เสียง
5. ตั้งค่าการใช้งานเสียง 360 องศาโดยการถ่ายรูปใบหู และปรับให้เข้ากับ App ที่รองรับ (มี 3 แอป Tidal, Deezer, Nugs.net)
6. เลือก Codec การเชื่อมต่อว่าเน้นความเสถียร SBC หรือเน้นคุณภาพเสียง AAC, LDAC
7. เปิด/ปิด DSEE Extreme
แท็ป System
1. ตั้งค่าการเชื่อมต่อ Smartphone 2 เครื่องพร้อมกัน
2. ตั้งค่าการใช้งานปุ่ม Custom ว่าจะให้เป็นการเปลี่ยนโหมดตัดเสียงรบกวนหรือเรียกใช้ผู้ช่วยเสียง Google, Alexa)
3. เปิด/ปิดการควบคุมด้วยระบบสัมผัส
4. ตั้งค่าปิดอัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน
5. เปิด/ปิดเซนเซอร์ตรวจจับการสวมใส่
6. เปลี่ยนภาษาเสียงแจ้งเตือนสถานะ
7. ตั้งค่าดาวน์โหลต Software สำหรับอัพเดทโดยอัตโนมัติ
จากฟังก์ชั่นทั้งหมดจะเห็นว่ากลับมาคราวนี้เพื่อมาสานต่อตำแหน่งเบอร์ต้นๆ ของวงการเช่นเคย โดยเรามาดูสรุป Key-Highlight กันชัดๆ เลยครับ
- ตัดเสียงรบกวนระดับท๊อปของวงการ
- ปรับการตัดเสียงตามกิจกรรมที่ทำและสถานที่
- ตั้งค่าผ่านแอป Sony | Headphones Connect
- ควบคุมด้วยระบบสัมผัสที่ Earcup
- เซนเซอร์ เล่น/หยุด เพลงเมื่อถอด
- Quick Attention สนทนาโดยไม่ต้องถอด
- Speak to Chat หยุดเพลงเมื่อพูดสนทนา
- ไมโครโฟนรับเสียงคมชัดมากยิ่งขึ้น
- ฟังก์ชั่นเพิ่มคุณภาพเสียง DSEE Extreme
- รองรับ Codec เสียงไร้สาย SBC, AAC และ LDAC
- แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง
- ฟังก์ชั่นชาร์จไว 10 นาทีเล่นได้ 5 ชั่วโมง
เสียง
มาครั้งนี้ได้รับการปรับจูนแนวเสียงเน้นย่านกลางและย่านแหลมแบบจัดเต็ม รวมกับฟังก์ชั่นตัดเสียงรบกวนที่ครั้งนี้เน้นตัดเสียงภายนอกจนแทบจะไม่ลดทอนเสียงที่อยู่ด้านในแม้แต่น้อย ผลที่ได้คือแนวเสียงที่กลมกล่อม ฟังสนุก ตามสไตล์กราฟเสียงของ Sony นั่นเอง
- ย่านกลาง: มีความโปร่ง เนื้อเสียงใส สะอาด ฟังง่าย ปลายเสียงเป็นประกาย เสียงร้องเสียงเครื่องดนตรีมาพร้อมรายละเอียดแบบจัดเต็ม ฟังง่าย รู้สึกได้ถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ แบบชัดเจน
- ย่านแหลม: สามารถทอดได้ไกลมากๆ ปลายเสียงพุ่งออกไปไกลมากกว่าเดิม พร้อมเนื้อเสียงที่มีความเรียบเนียน ไม่มีสากเสี้ยนบาดหู ปลายเสียงเก็บได้รวดเร็วไปพร่าปลาย ให้ความรู้สึกของเสียงที่มีความคม กริป เก็บรายละเอียดปลายเสียงได้ครบถ้วนทุกตัวโน๊ต
- ย่านเบส: เป็นอีกย่านที่ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี กลับมาคราวนี้พร้อมกับเบสที่ยังคงลงได้ลึก รายละเอียดจัดเต็ม ตึบตับอยู่เช่นเคย ส่วนที่พัฒนาคือการแยกเลเยอร์เบสออกมาอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ย่านเสียงทั้ง 3 มีความเด่นไม่มีย่านไหนที่ถดถอยลงไป เบสลูกใหญ่เนื้อแน่น แรงส่งพอประมาณ พุ่งปะทะหูแบบนิ่มนวล ปลายเสียงตัดเก็บได้อย่างรวดเร็วไม่ฟุ้ง ให้ความรู้สึกอิ่มฟังสนุก และมีความกลมกล่อมเป็นอย่างมาก
- เวทีเสียง: ต้องบอกเลยว่าปรับปรุงมาเป็นอย่างดี มิติเสียงคือมีความกว้างใหญ่ จัดวางเครื่องดนตรีต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ และเว้นที่ออกจากกันแบบชัดเจน ไม่มีอาการย่านเสียงทับกันแม้แต่นิดเดียว ทุกย่านประสานเสียงกันได้อย่างลงตัว เสียงร้องจะเด่นอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเครื่องดนตรีต่างๆ รวมถึงทิศทางที่มีความแม่นยำและสมจริง งานนี้บอกเลยว่าแค่ได้ลองฟังแล้วจะหลงรักอย่างไม่ยากเลย
สรุปคือเป็นหูฟังที่ปรับปรุงแนวเสียงมาเป็นอย่างดี ไม่เสียชื่อของ Sony จะฟังแนวไหนก็สนุก เพราะตัวหูฟังให้ความสำคัญกับทุกย่านเสียง จะย่านกลาง แหลม หรือเบสก็เด่นเท่ากันหมด พูดได้ว่าจะเอาไปฟังเพลงสไตล์ไหนก็เพราะแน่นอน โดยแนวที่แนะนำคือ Pop / Classic / Rock / Hip-Hop
จากทั้งหมดก็สรุปได้เลยว่า Sony WH-1000XM4 เป็นการกลับมาที่ยังคงรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี และยังคงยากที่จะหาแบรนด์ไหนๆ มาล้มไปได้ ด้วยความสามารถที่ให้มาแบบจัดเต็มและยังปรับแต่งได้อย่างอิสระ ฟังก์ชั่นตัดเสียงรบกวนที่ยังคงอยู่ระดับสูงสุด ปรับระดับการตัดเสียงรบกวนได้หลายระดับ และปรับแบบอัจฉริยะ รวมถึงฟังก์ชั่นล้ำๆ ทั้งเซนเซอร์ตรวจจับการสวมใส่ที่มีความแม่นยำ ฟังก์ชั่น Speak to Chat ที่เรียกว่าสะดวกขึ้นกว่า Quick Attention ไปอีกระดับ ไมโครโฟนที่นอกจากจะรับเสียงได้ชัดขึ้นแล้วยังตัดเสียงแทรกออกไปได้มากอีกด้วย มาพร้อมกับแนวเสียงที่ทำได้ดียิ่งขึ้นฟังสนุกยิ่งกว่าเดิม เรียกได้ว่าติดใจได้ง่ายๆ เพียงฟังแค่ครั้งเดียว กับราคาที่ยังคงเท่ากับรุ่นที่แล้วตอนเปิดตัวเพียง 13,900 บาท บอกเลยว่าระดับราคาเท่านี้ กับความสามารถระดับนี้ หารุ่นไหนๆ มาเทียบได้ยากจริงๆ ครับ