Music Streaming App แอปไหนเหมาะกับคุณ?

27 ก.พ. 2563

Music Streaming App แอปไหนเหมาะกับคุณ?

ทำความรู้จักกับ Music Streaming App มาแรงในปี 2020

เมื่อพูดถึงแอปฟังเพลงออนไลน์ หรือ Music Streaming Application ในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่ามีหลายแอปให้เลือกใช้งาน แต่ละแอปก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกันไป ในบางครั้งผู้ใช้งานก็อาจจะไม่แน่ใจว่าจะเลือกใช้แอปไหนดี เกิดคำถามขึ้นมากมายว่า อยากได้เพลงเยอะๆต้องใช้แอปไหน? อยากฟังเพลงฝรั่งเยอะๆเล่นแอปไหนดี? เพลงไทยเก่าๆต้องแอปไหนหรอ? ฟังเพลงพวก Hi-Res ต้องเลือกแอปไหน? หรือ แอปฟังเพลงอันไหนคุ้มที่สุด? เป็นต้น ซึ่งในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า แอปฟังเพลงออนไลน์ในยุคนี้ถ้ามองข้ามบริการฟรีและสมัครแพคเกจรายเดือน แอปไหนทำอะไรได้บ้าง มีฟังก์ชั่นไหนที่น่าสนใจ ค่าบริการเท่าไหร่ เหมาะกับกลุ่มผู้ใช้งานประเภทใดบ้าง รวมไปถึงมีคุณภาพเสียงในระดับใด และเหมาะสมกับ Codec เสียงไร้สายประเภทไหน? และถ้ามีหูฟังเสียงดีอย่าง Sony WH-1000XM3 จะใช้กับแอปไหนให้ได้เสียงดีคุ้มค่าบ้าง เรามาดูกันเลยครับ

Spotify

Music Streaming App 2020 แอปไหนเหมาะกับคุณ?

เมื่อพูดถึง แอปฟังเพลงออนไลน์ ชื่อของ Spotify จะต้องเป็นอันดับแรกที่หลายๆ คนนึกถึงอย่างแน่นอน ด้วยความที่เป็นแอปซึ่งมีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก จุดเด่นคือ AI อัจฉริยะที่จะช่วยสร้าง Playlist และคัดเลือกเพลงที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานนั้นๆ มีเพลงไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลีให้เลือกมากมายทั้งเพลงใหม่และเพลงเก่า แต่จะไม่มีพวกเพลงลูกทุ่งเท่าไหร่นัก โดยมีค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 139 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน


สามารถปรับตั้งค่าความละเอียดของไฟล์เพลงได้ 4 ระดับ ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 320kbps หรือเทียบเท่าความละเอียดสูงสุดของไฟล์ MP3 นั่นเอง


  • ค่าบริการ: 139 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน
  • ระดับความละเอียดไฟล์: สูงสุด 320 Kbps / สูง 160 Kbps / ปกติ 96 Kbps / ต่ำ 24 Kbps
  • Codec ไร้สายที่เหมาะสม: AAC, SBC


เหมาะกับ: ผู้ใช้งานทั่วไปที่มีหูฟังพื้นฐาน หรือหูฟังไร้สาย True Wireless ทั่วๆไป ไม่ได้โฟกัสในเรื่องคุณภาพเสียงมากนัก เน้นมีเพลงให้เลือกเยอะและใช้งานง่าย

Apple Music

Music Streaming App 2020 แอปไหนเหมาะกับคุณ?

แอปฟังเพลงคู่ใจของผู้ใช้งานฝั่ง iOS ที่ได้รับความนิยมไล่เลี่ยกับ Spotify ในปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นในเรื่องเพลงที่มีให้เลือกเยอะมากๆ โดยมีเพลงไทยทั้งเก่าและใหม่มากมาย เพลงฝรั่งที่มีตั้งแต่ใหม่ล่าสุดอัพเดทพร้อมกันกับอเมริกาไปถึงเก่ามากๆ เพลงญี่ปุ่น เพลงเกาหลี และเพลงต่างชาติอื่นๆ จุดเด่นคือใช้งานง่าย ใช้ปริมาณอินเตอร์เน็ตไม่มากนักและให้เสียงที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับแอปฟังเพลงเจ้าอื่น โดยมีค่าบริการที่ 129 บาท/ต่อเดือน สำหรับบุคลทั่วไป และราคาสำหรับนักศึกษาที่จะถูกลงมา 50% จากราคาปกติ


การปรับตั้งค่าความละเอียดของ Apple Music นั้นตั้งได้ 2 ระดับสูงสุดอยู่ที่ AAC 256 Kbps ที่ทางแอปเปิ้ลใช้เป็นมาตรฐานมาอย่างยาวนาน และถึงแม้เลขจะน้อยแต่คุณภาพเสียงนั้นดีไม่แพ้ Mp3, Ogg 320 Kbps เลยทีเดียว


  • ค่าบริการ: บุคคลทั่วไป 129 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน, นักเรียน นักศึกษา 69 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน
  • ระดับความละเอียดไฟล์: High Quality Streaming 256 Kbps / Streaming 128 Kbps
  • Codec ไร้สายที่เหมาะสม: AAC, SBC


เหมาะกับ: ผู้ใช้งานทั่วไปทั้งวัยทำงานและวัยเรียนที่ใช้อุปกรณ์ iOS เช่น iPhone และ iPad โดยตัวแอปจะติดตั้งมาพร้อมกับเครื่อง หรือผู้ใช้งานอุปกรณ์ Android ที่ต้องการฟังเพลงที่ให้เสียงดีโดยใช้ปริมาณอินเตอร์เน็ตน้อย ใช้งานได้กับหูฟังทุกประเภททั้งมีสายและไร้สายที่รองรับ Codec AAC ก็ฟังเพลงได้เต็มคุณภาพแล้ว

JOOX

Music Streaming App 2020 แอปไหนเหมาะกับคุณ?

เป็นอีกแอปยอดฮิตที่มาพร้อมคลังเพลงไทยทั้งใหม่และเก่าอย่างมากมาย รวมไปถึงเพลงลูกทุ่งที่มีให้เลือกมากที่สุดในบรรดาแอปฟังเพลงออนไลน์ในขณะนี้ นอกจากนั้นยังมีเพลงฝรั่ง และเพลงต่างประเทศอื่นๆเช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีให้เลือกฟังด้วยเช่นกัน จุดเด่นคือเพลงไทยเยอะมากทั้งเพลงใหม่ เพลงเก่า และเพลงลูกทุ่ง พูดได้ว่าเยอะกว่าแบรนด์อื่นๆ พร้อมด้วยอีกฟังก์ชั่นที่แอปอื่นๆไม่มีคือ ฟังก์ชั่นชั่นคาราโอเกะที่จะร้องคนเดียว ร้องเป็นคู่ ร้องกับผู้ใช้งานคนอื่นๆ หรือจะดูเหล่าดารา นักร้อง และ Net Idol ต่างๆมาร้องเพลงให้ฟังก็ยังได้ ค่าบริการอยู่ที่เดือนละ 129 บาท/ต่อเดือนเท่านั้น

การตั้งค่าความละเอียดนั้นมีให้เลือกหลายระดับด้วยกัน สูงสุดคือระดับ Hi-Fi ที่ในปัจจุบันตัวแอปได้รับการแก้ไขและปรับปรุงให้เสียงดีสมกับระดับ Hi-Fi แล้ว


  • ค่าบริการ: 129 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน
  • ระดับความละเอียดไฟล์: สูงสุด (Hi-Fi) ใช้ปริมาณอินเตอร์เน็ต 20 - 30 Mb / สูง (HQ) 6 – 10 Mb / กลาง 3 – 4 Mb / ปกติ 1 – 2 Mb / ต่ำ 0.5 – 1 Mb
  • Codec ไร้สายที่เหมาะสม: aptX HD, aptX, AAC, SBC


เหมาะกับ: แน่นอนว่าเหมาะกับผู้ที่ชอบฟังเพลงไทย ไม่ว่าจะไหม่หรือเก่า รวมไปถึงเพลงลูกทุ่ง ที่มาพร้อมความละเอียดระดับ HiFi ซึ่งก็จำเป็นต้องมีหูฟังที่รองรับ Hi-Res และถ้าเป็นหูฟังไร้สายก็ต้องรองรับ Codec ไร้สายสูงๆอย่างน้อยที่สุดคือ aptX รวมไปถึงเครื่องเล่นหรือ Smartphone ก็ต้องรองรับ aptX ด้วยเช่นกันจึงจะเล่น Hi-Fi ได้สมบูรณ์

Tidal

แอปฟังเพลงออนไลน์สำหรับกลุ่ม Audiophile จุดเด่นคือมีเพลงฝรั่งความละเอียด Hi-Fi ให้เลือกมากมายทั้งใหม่ เก่า ครบจบในแอปเดียว และล่าสุดกับการเพิ่มความละเอียดในระดับ MQA หรือเทียบเท่าต้นฉบับโดยไม่ผ่านการบีบอัดใดๆ ถือว่าเป็นจุดเด่นที่แข็งมากๆ เพราะเป็นแอปเดียวที่ให้ความละเอียดสูงสุดถึงระดับนี้ นอกจากนั้นยังมีเพลงไทย ญี่ปุ่น และเกาหลีให้เลือกอยู่พอประมาณ จุดเด่นคือเพลงทั้งหมดในแอปมีความละเอียดสูงถึง Hi-Fi เป็นระดับมาตรฐาน และเพลงฝรั่งทั้งใหม่และเก่าส่วนใหญ่ได้รับการอัพเดทเพิ่มระดับความละเอียดเป็น MQA รวมไปถึงเพลงไทย เกาหลีและญี่ปุ่นบางเพลงก็มี MQA ให้เลือกด้วย ส่วนค่าบริการนั้นสูงสุดอยู่ที่ 258 บาทต่อเดือนสำหรับความละเอียดเสียง Hi-Fi และ Master


การตั้งค่าความละเอียดสูงสุดคือ Master MQA ที่ในตอนนี้หลายๆเพลงในแอปก็ได้รับการอัพเดทเรียบร้อยแล้ว และสำหรับเพลงที่ยังไม่มี MQA ความละเอียดสูงสุดจะเป็น HiFi ซึ่งก็ถือว่าสูงมากๆเช่นกัน


  • ค่าบริการ: Tidal HiFi 258 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน, Tidal Premium 129 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน
  • ระดับความละเอียดไฟล์: Master (MQA) / Hifi Lossless / High 320 Kbps / Normal 192 Kbps
  • Codec ไร้สายที่เหมาะสม: UAT, HWA, LDAC, aptX HD, aptX, AAC, SBC


เหมาะกับ: เหมาะกับคนที่ชอบฟังเพลงฝรั่งเป็นชีวิตจิตใจ และคนที่ชอบฟังเพลงระดับ HiFi หรือ Audiophile เพราะเมื่อเทียบค่าบริการต่อเดือนกับคลังเพลงที่มีมหาศาลแล้ว พูดได้เลยว่าคุ้มค่ามากๆ ทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน ส่วนการใช้งานให้ได้ความละเอียดเสียงสูงสุดนั้น จำเป็นต้องมีหูฟังที่รองรับเสียงระดับ Hi-Res และถ้าเป็นหูฟังไร้สายก็จำเป็นจะต้องรองรับ Codec ไร้สาย Hi-Res รวมถึงตัวเล่นหรือ Smartphone ก็จำเป็นที่จะต้องรองรับ Codec Hi-Res เช่นเดียวกัน จึงจะเล่นได้อย่างสมบูรณ์

YouTube Music

Music Streaming App 2020 แอปไหนเหมาะกับคุณ?

แอปฟังเพลงออนไลน์เจ้าใหม่ล่าสุดจากค่ายยักษ์ใหญ่วงการวีดีโอออนไลน์อย่าง YouTube มีคลังเพลงให้เลือกมากมายทั้งใหม่และเก่า ทั้งเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงญี่ปุ่น เกาหลี และต่างประเทศอื่นๆ หรือก็คือถ้าช่อง Official ใน YouTube มีเพลงไหน ในแอป Music ก็จะมีด้วยเช่นเดียวกัน จุดเด่นคือเรื่องเพลงที่มีมากมายและอัลกอริทึ่มที่เก็บข้อมูลผู้ใช้งานจากใน YouTube จัดเพลงออกมาตรงใจผู้ฟังสุดๆ พูดได้ว่าแม่นยำไม่แพ้กับแอป Spotify เลยทีเดียว และยังสามารถเลือกสลับระหว่างเพลงและ MV ได้ตลอดเวลาอีกด้วย ส่วนของค่าบริการอยู่ที่ 129 บาท/ต่อเดือน


การตั้งค่าความละเอียดสารถเลือกได้ 3 ระดับ สูงสุดคือ High ให้ความละเอียดที่ 256 Kbps เท่ากันกับในแอป Apple Music


  • ค่าบริการ: 129 บาท/ต่อเดือน/ต่อคน
  • ระดับความละเอียดไฟล์: สูง 256 Kbps / กลาง 128 Kbps / ต่ำ 48 Kbps
  • Codec ไร้สายที่เหมาะสม: AAC, SBC


เหมาะกับ: ผู้ที่ปกติฟังเพลงจากแอป YouTube อยู่แล้ว เพราะประวัติการใช้งานทั้งหมดจะถูกส่งมาให้ YouTube Music ช่วยให้ทางแอปสามารถแนะนำ Suggest เพลงได้ถูกตรงใจผู้ใช้งานมากที่สุดนั่นเอง

*ตารางสรุปเปรียบเทียบข้อแตกต่างของ Music Streaming App

ตารางสรุปเปรียบเทียบข้อแตกต่างของ Music Streaming App
สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

1. นักเรียน, นักศึกษา

สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

สำหรับกลุ่มแรกที่ยังอยู่ในวัยเรียน มีงบที่จำกัด Apple Music เป็นตัวเลือกที่เด่นที่สุดด้วยราคาสำหรับนักเรียน, นักศึกษา และยังมาพร้อมกับ iPhone iPad ที่ปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญทั้งการใช้ iPhone ในการสื่อสาร และใช้งาน iPad ประกอบการเรียน พร้อมคลังเพลงไทยและสากลมากมายทั้งเก่าและใหม่ล่าสุดให้เลือกฟัง รวมไปถึงยังใช้ปริมาณอินเตอร์เน็ตในการสตรีมมิ่งไม่มากอีกด้วย

2. บุคคลทั่วไป

สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

สำหรับกลุ่มที่ 2 ที่อาจจะต้องการเพลงไทยเยอะๆ เพลงลูกทุ่งบ้าง เพลงเก่าๆไว้หวนความทรงจำ ใช้งานไม่ยาก แอปที่เหมาะสมจึงคือ Spotify, Joox และ YouTube Music ด้วยคลังเพลงที่มีให้เลือกฟังมากมายหลากหลาย ราคาในระดับกลางๆ และคุณภาพเสียงที่กำลังพอดีนั่นเอง

3. Music Lover

สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

กลุ่มที่ชื่นชอบการฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ชอบค้นหาเพลงใหม่ๆ แนวเพลงใหม่ๆ ที่ไม่เคยฟัง ไม่ได้เน้นในเรื่องแนวเสียงมากนัก แอปที่เหมาะสมจะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจาก 2 แอปนี้คือ Spotify และ YouTube Music ด้วยความสามารถเฉพาะตัวทั้ง AI อัจฉริยะในแอป Spotify ที่จะคอยแนะนำและจัดเพลย์ลิสท์ให้ถูกใจผู้ใช้งานที่สุด หรืออัลกอริทึ่มประมวลจากประวัติการฟังเพลงใน YouTube Music ซึ่งทั้ง 2 แอปก็จะคอยแนะนำเพลงใหม่ที่ตอบโจทย์ให้ได้ฟังอยู่เรื่อยๆ

4. Audiophile หรือผู้ชอบฟัง Lossless

สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

แอปแรกสำหรับกลุ่มนี้แน่นอนว่าต้องเป็น Tidal อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นคือมีเพลง Lossless ให้ฟังมากมายโดยเฉพาะเพลงฝรั่ง ที่สำคัญคือความละเอียดสูงสุดถึงระดับ Master รองลงมาก็คือ JOOX ที่ปัจจุบันปรับปรุงในส่วนของความละเอียด HiFi ให้เสียงดีสมกับเป็น HiFi จริงๆ และแน่นอนว่าผู้ใช้งานกลุ่มนี้ก็จะต้องมีหูฟังและเครื่องเล่นที่รองรับความละเอียดไฟล์สูงๆด้วยเช่นกัน

5.1 ผู้ใช้งาน iOS

สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

ด้วยความที่เป็นระบบปิด ถ้าเชื่อมต่อหูฟังไร้สายผ่าน Bluetooth แนะนำว่า Apple Music และ YouTube Music จะเหมาะสุดๆ เพราะให้ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 256 Kbps และตัวอุปกรณ์ iOS ก็รองรับ Codec สูงสุดอยู่ที่ AAC 250 Kbps เท่านั้น จะใช้หูฟังไร้สายรุ่นไหนก็ให้คุณภาพเสียงเท่ากัน แต่ถ้าเชื่อมต่อแบบมีสายก็ใช้งานได้ทุกแอปไม่มีปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าอยากฟังเพลงความละเอียดสูงสุดเท่าไหร่ เพลงมากแค่ไหน แนะนำเพลงใหม่ได้ดีเพียงใด ตามที่ต้องการ

5.2 ผู้ใช้งาน Android

สรุปแล้ว Music Streaming App ไหนเหมาะกับ Life Style แบบไหน?

ข้อดีคือเป็นระบบเปิด ดังนั้นถ้าเชื่อมต่อหูฟังไร้สายผ่าน Bluetooth ก็ให้ดูว่าตัวหูฟังและ Smartphone รุ่นนั้นๆรองรับ Codec ไร้สายสูงสุดที่เท่าใด แล้วก็เลือกแอปที่ให้ความละเอียดสูงสุดที่เหมาะสมกับ Smartphone และตัวหูฟังได้ตามที่ต้องการ ซึ่งอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Codec ไร้สายได้ที่นี่ “ฟังเพลง Hi-Res ผ่าน Bluetooth ต้องทำยังไง?” แต่ถ้าเชื่อมต่อแบบมีสายก็ไม่มีปัญหาเลือกใช้งานได้ตามความต้องการได้เลย

เป็นยังไงกันบ้างครับ จะเห็นได้ว่าแต่ละแอปนั้นก็มีจุดเด่นที่ต่างกันไป แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องยอมรับเลยว่าน่าใช้งานทุกแอป หากเลือกได้ตรงตามความต้องการก็จะช่วยให้ใช้งานได้สะดวกและตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้นนั่นเอง และหากมีข้อมูลหรือเทคโนโลยีใหม่ๆมาอัพเดท ทาง Mercular.com ก็จะนำมาอัพเดทกันอีกแน่นอนครับ สวัสดีครับ

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2